Walmart และ Amazon เป็นผู้ค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดสองรายของโลก ที่โด่งดังและรู้จักกันในเรื่องการแข่งขันที่จะครองใจลูกค้า และผสานนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ากับการค้าปลีก ซึ่งการแข่งขันของทั้งสองเจ้าได้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2019 จนถึงปัจจุบัน มาดูกันว่าทั้งสองแบรนด์มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอะไรบ้าง ที่นำมาแข่งขันกัน แล้วใครเป็นผู้ชนะในแต่ละด้านกันบ้าง Techsauce ได้รวบรวมมาให้แล้ว
Amazon และ Walmart มีการเติบโตทางการเงินที่แข็งแกร่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Walmart สร้างรายได้ 573 พันล้านดอลลาร์ในปี 2022 เพิ่มขึ้นจาก 595.15 พันล้านดอลลาร์ในปี 2021 ในไตรมาสแรกของปี 2023 รายได้รวมของ Walmart เพิ่มขึ้น 7.6%
ในปี 2022 Amazon มีรายได้ 514 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 469.8 พันล้านดอลลาร์ในปี 2021 รายรับในไตรมาสที่ 1 ปี 2023 ของ Amazon อยู่ที่ 116.4 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อนหน้า ส่วนราคาหุ้น Walmart ปัจจุบันอยู่ที่ 150 ดอลลาร์ ขณะที่หุ้น Amazon อยู่ที่ 114 ดอลลาร์
Walmart มีพนักงาน 2.3 ล้านคนทั่วโลก เทียบกับพนักงาน 1.54 ล้านคนที่ Amazon ทั้งสองแบรนด์ไม่ได้รับผลกระทบจากการปลดพนักงานเมื่อเร็วๆ นี้ โดย Walmart เลิกจ้างพนักงานประมาณ 10,000 คนในร้านค้าและศูนย์ปฏิบัติการเมื่อเร็วๆ นี้ ในส่วนของAmazon เลิกจ้างพนักงานไปแล้วอย่างน้อย 27,000 คนในปี 2023
Winner : Walmart เพราะตัวเลขรายได้และฐานพนักงานของ Walmart นั้นใหญ่ขึ้นและมีเสถียรภาพมากขึ้น แม้ว่า Amazon จะยังคงแซงหน้าการเติบโตของรายได้ก็ตาม
ในปี 2022 Walmart ได้ลงทุน 14,000 ล้านดอลลาร์ในระบบอัตโนมัติ เทคโนโลยี Supply Chain และความคิดริเริ่มที่ตอบสนองลูกค้า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Walmart ได้อัปเดตรูปแบบร้านค้าให้เป็นมิตรกับลูกค้ามากขึ้น และนำแอปการชำระเงินแบบ Contactless มาใช้
Walmart ยังขยายการจัดส่งด้วยโดรนเพื่อเข้าถึงหลายล้านครัวเรือนและขยา ยMicro-Fulfilment เพื่อเพิ่มความเร็วในการจัดส่งและรับสินค้า Walmart ขยายการเข้าถึงผ่านการเป็นพันธมิตรที่ทรงพลังกับ Angi สำหรับการติดตั้งผลิตภัณฑ์ และ NetflixNFLX สำหรับสินค้าแบรนด์พิเศษ และยังเป็นผู้บุกเบิก Metaverse ด้วยร้านค้าเสมือนจริงหลายเวอร์ชัน
Amazon เป็นที่รู้จักในด้านนวัตกรรมซึ่งได้เปลี่ยนอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงเครือข่ายร้านขายของห้างสรรพสินค้า และรวมไปถึงโรงภาพยนตร์
Amazon กำลังเพิ่มข้อมูลลูกค้าเป็นสองเท่าด้วยกลยุทธ์การวิเคราะห์เชิงนวัตกรรม ซึ่งหลายกลยุทธ์ใช้ร่วมกับ Third-party seller ด้วย ในปี 2022 Amazon ได้เปิดตัวกองทุน Amazon Industrial Innovation Fund มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ เพื่อปรับปรุง Supply Chain Fulfillment และ Logistics
Amazon ยังคงขยายระบบอัตโนมัติของคลังสินค้าด้วยหุ่นยนต์ที่ได้รับการปรับปรุงเพื่อหยิบและบรรจุคำสั่งซื้อด้วยความแม่นยำ หุ่นยนต์บางตัวยังตรวจสอบความถูกต้องของคำสั่งซื้ออีกครั้งโดยใช้ AI และเทคโนโลยีการเรียนรู้ทำให้ Amazon สามารถจัดส่งพัสดุหลายล้านชุดได้อย่างรวดเร็ว
Winner: Walmart แม้ Amazon มีประวัติอันน่าทึ่งด้านนวัตกรรมและได้เปลี่ยนแปลงการค้าปลีกไปตลอดกาล แต่ Walmart กำลังลงทุนมากขึ้นในอนาคตและกำลังผลักดันนวัตกรรมอยู่เรื่อยๆ
แม้ว่าตัวเลขจะมีความสำคัญ แต่บางทีการบอกถึงความสำเร็จของบริษัทคือการมุ่งเน้นที่ลูกค้าเป็นหลัก ในปี 2023 Amazon ได้เพิ่มอันดับในดัชนีความพึงพอใจของลูกค้าชาวอเมริกันขึ้นหกจุดเป็น 84% และเป็นอันดับที่สองใกล้เคียงกันในหมู่ผู้ค้าปลีกออนไลน์ เหตุผลในการเติบโตของ Amazon คือ Value และ Selction แต่ Walmart เพิ่มขึ้นหนึ่งจุดในปี 2022 และเป็นอันดับสองรองจากสุดท้าย
Amazon เป็นที่รู้จักในเรื่องวัฒนธรรมที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับ Personalization และความสะดวกสบาย ด้วยแอปที่มีประสิทธิภาพและคำแนะนำที่ดี ลูกค้าสามารถดูแลการช้อปปิ้งและงานอื่นๆ ทั้งหมดได้อย่างราบรื่น อย่างไรก็ตาม การเลิกจ้างอย่างกว้างขวาง และความรู้สึกที่เพิ่มขึ้นว่า Amazon Prime ทำร้ายธุรกิจขนาดเล็กนั้น เป็นเรื่องในแง่ลบต่อ Amazon
แม้ว่า Walmart จะลงทุนในการปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า แต่คะแนนความพึงพอใจของลูกค้าก็เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม บริษัทเพิ่งประกาศ Walmart Business เพื่อเพิ่มศักยภาพแก่ลูกค้าธุรกิจขนาดเล็กด้วยการปรับปรุงกระบวนการจัดซื้อ
Winner: Amazon เพราะได้มอบบริการที่ค่อนข้าง Personalization อย่างเหลือเชื่อให้กับลูกค้าจนหลงรัก
การเติบโตของอีคอมเมิร์ซเติบโตอย่างมากในช่วงที่เกิดโรคระบาด Amazon และ Walmart แต่ตั้งแต่นั้นมาการเติบโตดังกล่าวก็เริ่มลดระดับลง ในไตรมาสที่ 4 ปี 2022 และไตรมาสที่ 1 ปี 2023 รายได้อีคอมเมิร์ซของ Amazon ลดลงเล็กน้อยจากปีที่แล้ว สำหรับปี 2022 ยอดขายออนไลน์ของ Amazon หายไป 2.7 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับกำไร 33.4 พันล้านดอลลาร์ในปี 2021
ในทางกลับกัน Walmart เห็นว่ายอดขายดิจิทัลในไตรมาสที่ 4 ปี 2022 เพิ่มขึ้น 17% จากปีที่แล้ว แต่แบรนด์ดังกล่าวยังมองโลกในแง่ดี เกี่ยวกับการเติบโตเนื่องจากราคาที่เพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ
Amazon และ Walmart ต่างเสนอบริการสมาชิกดิจิทัลทั้ง Amazon Prime มีสมาชิกมากกว่า 160 ล้านรายทั่วโลก แต่ราคาต่อปีสูงขึ้นและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สมาชิก Walmart+ หยุดอยู่ที่ราว 11.5 ล้านคน ทำให้บริษัทต้องเพิ่มสิทธิประโยชน์มากขึ้น
ในช่องทางดิจิทัลอื่นๆ Amazon ยังคงเป็นอันดับหนึ่งสำหรับ B2B ด้วย Amazon Web Services ซึ่งสร้างผลกำไรส่วนใหญ่ให้กับบริษัท
Winner: Amazon นั่นเอง แม้ว่า Walmart จะเติบโตทางดิจิทัลขึ้นเรื่อยๆ แต่ Amazon ก็ยังคงครองตำแหน่ง Prime Services และ B2B AWS อยู่ตลอด
ด้วยร้านค้ามากกว่า 4,700 แห่งในสหรัฐฯ และอีกกว่า 5,000 แห่งทั่วโลก ประชากร 90% ของสหรัฐฯ อาศัยอยู่ภายในรัศมี 10 ไมล์จาก Walmart ในปี 2022 Walmart ได้ปิดร้านที่มีอยู่แล้ว 1 แห่ง หลังจากปิดร้าน 13 แห่งในปี 2021
Amazon มีความก้าวหน้าในการค้าปลีกที่จับต้องได้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมี Whole Foods Markets 520 แห่ง ร้านขายของชำ Amazon Fresh 44 แห่ง ร้านสะดวกซื้อ Amazon Go 26 แห่ง และห้างสรรพสินค้านำร่องในบางเมือง ร้านค้าที่มีหน้าร้านจริงของ Amazon ประสบความสำเร็จ โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขสองหลักเป็นเวลาหลายไตรมาส
Winner: เสมอ นับเป็นเรื่องของปริมาณมากกว่าคุณภาพ แม้ว่า Amazon จะขยายไปสู่การค้าปลีกในรูปแบบใหม่ แต่ Walmart ก็ครองตำแหน่งได้เนื่องจากจำนวนที่มหาศาล
Amazon เป็นผู้นำด้าน Supply Chain และ Logistics มาอย่างยาวนาน โดยเป็นผู้บุกเบิกการขนส่งข้ามคืนและเมื่อเร็วๆ นี้ได้เปิดตัวกองทุนมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สำหรับนวัตกรรมด้าน supply chain โดยมีเงินทุนเริ่มต้นสำหรับหุ่นยนต์และเทคโนโลยี Amazon กำลังใช้ระบบ intralogistics โดยอัตโนมัติเพื่อย้ายรายการระหว่างคลังสินค้า
ในทางกลับกัน Walmart มีสิทธิบัตรด้าน supply chain มากกว่าผู้ค้าปลีกรายอื่นๆ รวมถึง Amazon การลงทุนล่าสุดของบริษัทคือด้านโลจิสติกส์ระยะสุดท้ายด้วยการสร้าง micro-fulfillment สำหรับการจัดส่งแบบ hyper-local อนาคตของ Walmart คือ omnichannel ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
Winner: เสมอเช่นกัน Amazon เป็นผู้นำด้านโลจิสติกส์และมักทำหน้าที่เป็นบริษัทขนส่งมากกว่าผู้ค้าปลีกออนไลน์ แต่การลงทุนที่เพิ่มขึ้นของ Walmart ใน Supply Chain ที่รวมข้อมูล ระบบอัตโนมัติ และมนุษย์เข้าด้วยกันอาจเปลี่ยนแปลงการค้าปลีกได้
Walmart กำลังก้าวไปสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนในเชิงรุก ซึ่งรวมถึงการลดการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์จากการดำเนินงานทั่วโลกภายในปี 2040 ซึ่งบริษัทขับเคลื่อนถึง 46% ในการดำเนินงานด้วยพลังงานหมุนเวียน
Amazon อยู่ในเส้นทางที่จะบรรลุเป้าหมายการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์จากการดำเนินงานภายในปี 2025 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายเดิมในปี 2030 ถึงห้าปี แม้ว่า Amazon จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ก็ยังมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดขยะทั่วโลก รายงานฉบับหนึ่งพบว่า Amazon ผลิตขยะบรรจุภัณฑ์พลาสติก 599 ล้านปอนด์ในปี 2020 เพิ่มขึ้น 29% จากปี 2019 ในปี 2022 ผู้ถือหุ้นมากกว่าครึ่งของ Amazon โหวตให้บริษัทจัดการปัญหาพลาสติกที่เพิ่มขึ้น
Winner: Walmart เพราะถึงแม้ Amazon กำลังก้าวหน้าในบางเรื่อง แต่ต้องจัดการกับความล้มเหลวด้านความยั่งยืนหลายประการ
ถือเป็นการวิเคราะห์เปรียบเทียบในแต่ละด้านที่การต่อสู้ของผู้ค้าปลีกรายใหญ่อย่าง Walmart และ Amazon แข่งขันกันในปี 2023 ที่สลับกันได้เปรียบในด้านต่าง แต่ก็ยังมีจุดบกพร่องเล็กๆ ให้เห็นถึงโอกาสที่แบรนด์อื่นๆ อาจเข้าสู่งสังเวียนค้าปลีกนี้ และก้าวขึ้นมาแทนที่เช่นกัน
อ้างอิง Forbes
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด