บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group ตอกย้ำศักยภาพความแข็งแกร่งทางธุรกิจ ฝ่าวิกฤตโควิด-19 โชว์ผลการดำเนินงานปกติปี 2563 รายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 9,376.0 ล้านบาท และกำไรปกติ จำนวน 2,542.6 ล้านบาท เผยปี 2564 มีแผนในการขยายการให้บริการเชื่อมต่อสื่อสารแบบโครงข่ายสายเคเบิลใยแก้วนำแสง (FTTx) ในนิคมอุตสาหกรรมของกลุ่มบริษัทฯ เพื่อรองรับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G พร้อมยกระดับการให้บริการทางด้านศูนย์บริการระบบข้อมูลสารสนเทศ (Data Center) ให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีแผนการลงทุนใน 5G Tower และการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลต่างๆ เพื่อรองรับการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัล
คุณจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 2563 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไร และกำไรสุทธิทั้งสิ้น 4,550.7 ล้านบาท และ 1,453.9 ล้านบาท ตามลำดับ โดยเป็นรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ และกำไรสุทธิปกติทั้งสิ้น 4,482.6 ล้านบาท และ 1,387.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 178.6% และ 214.8% จากไตรมาสก่อน และ 5.4% และ 14.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2562 สำหรับผลการดำเนินงานปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรทั้งสิ้น 9,406.6 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,523.7 ล้านบาท โดยหากพิจารณาถึงผลประกอบการปกติ บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 9,376.0 ล้านบาท และกำไรปกติ 2,542.6 ล้านบาท ลดลง 14.0% และ 8.1% จากปีที่แล้ว สะท้อนผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งจากแพลตฟอร์ม 4 กลุ่มธุรกิจ แม้ว่าการโอนที่ดินบางส่วนถูกเลื่อนออกไปจากสถานการณ์โควิด-19 และมาตรการจำกัดการเดินทางในปีที่แล้ว รวมถึงการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้า Gheco-One ที่ลดลง และค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนโครงการสาธารณูปโภคของบริษัทในกลุ่ม
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลรวมสำหรับผลประกอบการปี 2563 ที่ 0.1002 บาทต่อหุ้น โดยเป็นเงินปันผลระหว่างกาลที่ได้จ่ายให้ผู้ถือหุ้นไปแล้วจำนวน 0.0367 บาทต่อหุ้น และเงินปันผลที่จะจ่ายเพิ่มเติมอีก 0.0635 บาทต่อหุ้น สะท้อนให้เห็นถึงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2563 โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ วันที่ 7 พฤษภาคม 2564 และกำหนดการจ่ายเงินปันผล ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 ตามลำดับ
ธุรกิจโลจิสติกส์ มีการเติบโตสูงสอดคล้องกับการขยายตลาดของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและความต้องการศูนย์กระจายสินค้าที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ในปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,157.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 23.0% นอกจากนั้นช่วงปลายปี 2563 บริษัทฯ ยังประสบความสำเร็จในการเพิ่มทุนครั้งที่ 5 ของกองทรัสต์ WHART คิดเป็นมูลค่ากว่า 3,200 ล้านบาท ณ สิ้นปี บริษัทฯ มีพื้นที่คลังสินค้าภายใต้การถือครองและบริหารทั้งหมดเป็นจำนวน 2,493,980 ตารางเมตร
ปัจจุบันบริษัทฯ มีแผนพัฒนาโครงการศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่เพิ่มเติมอีก 5 โครงการ คิดเป็นพื้นที่รวมกว่า 400,000 ตารางเมตร พร้อมทั้งนำนวัตกรรมสมัยใหม่ อาทิ เทคโนโลยี 5G และระบบอัตโนมัติเข้ามาสนับสนุนการพัฒนาคลังสินค้าอัจฉริยะ รวมถึงการนำเสนอ Value-added Service ใหม่ๆ ร่วมกับบริษัทสตาร์ทอัพผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนการดำเนินงานของผู้เช่าในระยะยาว
ในปี 2564 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนพื้นที่จากการทำสัญญาใหม่และ/หรือการพัฒนาโครงการใหม่รวม 175,000 ตารางเมตร และสัญญาให้เช่าระยะสั้นที่สร้างผลตอบแทนสูงอีกกว่า 50,000 ตารางเมตร นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเล็งเห็นโอกาสการเติบโตทางธุรกิจโลจิสติกส์ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเวียดนามที่มีการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงบริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายการขายทรัพย์สิน และ/หรือ สิทธิการเช่าทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์เพิ่มเติมในไตรมาส 4 ของปีนี้
ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม บริษัทฯ รับรู้รายได้รวม 1,883.9 ล้านบาท ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปีก่อนเนื่องจากการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและการขายที่ดินใหม่ที่ถูกเลื่อนออกไปจากมาตรการจำกัดการเดินทาง อย่างไรก็ตาม ในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ มีรายได้ค่าสิทธิการผ่านทางเข้ามาหนุน จำนวน 396.9 ล้านบาท รวมถึงรายได้จากการจำหน่ายอาคารโรงงานและคลังสินค้าสำเร็จรูปให้แก่กองทรัสต์ HREIT มูลค่ารวมกว่า 1,300 ล้านบาท
สำหรับนิคมอุตสาหกรรมในประเทศ บริษัทฯ มีการพัฒนาและขยายนิคมใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยนิคมอุตสาหกรรมแห่งที่ 11 ในประเทศของบริษัทฯ ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมระยอง 36 ตั้งอยู่ในพื้นที่ EEC มีขนาดพื้นที่โครงการรวม 1,280 ไร่ พร้อมเปิดให้บริการแก่นักลงทุนที่สนใจเรียบร้อยแล้ว รวมถึงปัจจุบันบริษัทฯ มีแผนพัฒนาพื้นที่เพิ่มเติมภายในนิคมอุตสาหกรรมอีก 3 แห่ง ประกอบด้วย (1) นิคมอุตสาหกรรม ดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 (2) นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง และ (3) เขตประกอบการอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ สระบุรี 2
ด้านธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนาม เขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 1 เหงะอาน ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีด้วยยอดขายในปี 2563 เกินกว่าเป้าหมายที่วางไว้ บริษัทฯ จึงเร่งสานต่องานก่อสร้างในพื้นที่เฟส 1B ส่วนที่เหลือจำนวน 2,100 ไร่ พร้อมขยายการก่อสร้างในเฟส 2 และเฟส 3 คิดเป็นพื้นที่เพิ่มเติมอีก 4,700 ไร่ นอกจากนี้ ปลายปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ลงนามความร่วมมือกับรัฐบาลท้องถิ่นประจำจังหวัดทัญฮว้า (Thanh Hoa) เพื่อพัฒนาเขตอุตสาหกรรม 2 แห่ง ประกอบด้วย (1) โครงการ WHA Smart Technology Industrial Zone - Thanh Hoa และ (2) โครงการ WHA Northern Industrial Zone - Thanh Hoa พื้นที่รวมเกือบ 7,500 ไร่ นับเป็นความสำเร็จก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศของบริษัทฯ
สืบเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายที่ดินในปี 2564 เท่ากับ 1,030 ไร่ โดยแบ่งเป็นยอดขายที่ดินในประเทศไทยจำนวน 725 ไร่ และเวียดนามจำนวน 305 ไร่
ธุรกิจสาธารณูปโภค บริษัทฯ รับรู้รายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภค ในปี 2563 เท่ากับ 2,043.2 ล้านบาท โดยในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ปริมาณยอดขายน้ำในประเทศเวียดนามมีการเติบโตที่ดีขึ้น ส่วนประเทศไทยปริมาณการใช้น้ำของผู้ประกอบการกลุ่มต่างๆ มีการปรับตัวกลับสู่สภาวะปกติ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และกลุ่มผู้ประกอบการปิโตรเคมีซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทฯ ภายหลังจากสถานการณ์โควิด-19 และภัยแล้งปี 2563 ผ่านพ้นไป
บริษัทฯ มุ่งเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่มาพร้อมกับนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง โดยโครงการ Reclamation Plant ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยกำลังการผลิต 9.125 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ภายในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ตะวันออก (มาบตาพุด) ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อเดือนธันวาคมปี 2563 รวมถึงโครงการ Demineralized Water Plant เฟส 2 ที่ตั้งอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ตะวันออก (มาบตาพุด) เพื่อให้บริการแก่บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) ภายใต้สัญญาซื้อขาย 1.6 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี รวมระยะเวลา 15 ปี เริ่มเปิดดำเนินการผลิตแล้วในเดือนมกราคมที่ผ่านมาเช่นกัน
อย่างไรก็ตามในปี 2564 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายจำหน่ายน้ำ ทั้งน้ำดิบ น้ำประปา น้ำเพื่อการอุตสาหกรรม รวมไปถึงระบบจัดการน้ำเสีย จำนวน 153 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 34% จากปีก่อนที่มีปริมาณการจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำอยู่ที่ประมาณ 114 ล้านลูกบาศก์เมตร นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนขยายการลงทุนทั้งในจังหวัด/ เขตพื้นที่อื่นๆ ของประเทศเวียดนาม รวมถึงประเทศที่มีศักยภาพในภูมิภาคนอกเหนือไปจากประเทศไทยและเวียดนามเพิ่มเติมอีกด้วย
ในส่วนของ ธุรกิจไฟฟ้า กลุ่มบริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรปกติจากการดำเนินงานจากการลงทุนในบริษัทร่วมและบริษัทร่วมค้าไม่นับรวมกำไร/ ขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนในปี 2563 เท่ากับ 940.4 ล้านบาท ทั้งนี้ส่วนแบ่งกำไรของธุรกิจไฟฟ้าในปี 2563 ที่ลดลงจากปีที่แล้วนั้นมีสาเหตุหลักมาจากส่วนแบ่งกำไรทางบัญชีของโรงไฟฟ้า Gheco-One ที่บริษัทฯ ร่วมลงทุนลดลงเนื่องจากหลายปัจจัย อาทิ อัตราค่าความพร้อมจ่ายตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า Energy Margin ฯลฯ รวมถึงการเริ่มจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตรา 10% ที่มีผลบังคับใช้เมื่อปลายปี 2562 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม โรงไฟฟ้า Gheco-One ได้มีการปิดซ่อมบำรุงตามแผนในเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพื่อตรวจสอบและแก้ไขปัญหาประสิทธิภาพการผลิตดังกล่าวแล้ว ในขณะที่โรงไฟฟ้าในกลุ่ม SPP ยังมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง รวมถึงบริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรจากปริมาณยอดขายไฟฟ้าที่ปรับตัวดีขึ้นจากโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม ชลบุรี คลีน เอ็นเนอร์ยี่ ตลอดจนการทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการ Solar Energy เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทฯ จะสามารถรับรู้รายได้เข้ามาเต็มปีจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวในปีนี้
ในปี 2564 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายจำนวนเมกะวัตต์ตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทฯ เป็น 670 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้นมากกว่า 10% จากปี 2563 โดยบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถเซ็นสัญญาเพื่อลงทุนผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากโครงการพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ทั้งแบบติดตั้งบนหลังคา แบบลอยน้ำ และบนพื้นดินในปีนี้เพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยกว่า 50 เมกะวัตต์ รวมเป็นสัญญาการผลิต 100 เมกะวัตต์ ณ สิ้นปี รวมถึงการมุ่งเน้นพัฒนาโครงการนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น ระบบการซื้อขายไฟฟ้าแบบ P2P Energy โดยใช้เทคโนโลยี Blockchain และการขยายธุรกิจพลังงานสะอาดโดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ในอีก 3 ปีข้างหน้า เป็น 300 เมกะวัตต์ ไปพร้อมๆ กับการศึกษาโอกาสการลงทุนเข้าซื้อกิจการในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ (Solar Farm) และพลังงานลม (Wind Farm) ในประเทศเวียดนาม ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ก็ได้มีการขยายธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม และธุรกิจการจัดจำหน่ายน้ำและการให้บริการบำบัดน้ำเสียที่ประเทศเวียดนามอย่างต่อเนื่อง โดยการลงทุนดังกล่าวทำให้บริษัทฯ มีฐานลูกค้า และพันธมิตรทางธุรกิจที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายการลงทุนของกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ในต่างประเทศอีกด้วย
นอกจากนี้ ธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะพัฒนาการให้บริการ และนำเสนอนวัตกรรมทางด้านดิจิทัลใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างครบวงจร โดยในปี 2564 บริษัทฯ มีแผนในการขยายการให้บริการเชื่อมต่อสื่อสารแบบโครงข่ายสายเคเบิลใยแก้วนำแสง (FTTx) ในนิคมอุตสาหกรรมของกลุ่มบริษัทฯ เพื่อรองรับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G พร้อมยกระดับการให้บริการทางด้านศูนย์บริการระบบข้อมูลสารสนเทศ (Data Center) ให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีแผนการลงทุนใน 5G Tower และการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลต่างๆ เพื่อรองรับการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัลของบริษัทฯ และช่วยให้กลุ่มธุรกิจของบริษัทฯ สามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้
สุดท้ายนี้ โครงการ ดับบลิวเอชเอ ทาวเวอร์ (WHA Tower) อาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของบริษัทฯ ตั้งอยู่บนถนนบางนา-ตราด (เทพรัตน์) ก.ม. 7 โดยตัวอาคารเป็นอาคารสูง 25 ชั้น เกรดเอ พรีเมียม มีพื้นที่ใช้สอย 52,000 ตารางเมตร และพื้นที่ปล่อยเช่า 25,000 ตารางเมตร ตัวอาคารได้รับรางวัล “Commercial High Rise Architecture Thailand” มีการออกแบบอย่างทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พื้นที่สำนักงานสามารถตอบโจทย์การทำงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ สามารถสร้างสมดุลชีวิตและไลฟ์สไตล์การทำงานได้อย่างลงตัว ปัจจุบันพร้อมเปิดให้บริการเช่าพื้นที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด