คืนวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา หุ้น Credit Suisse ปรับตัวลงกว่า 24% ในสองช่วงการซื้อขาย และยังเป็นการปรับตัวลงแบบ All Time Low (ระดับราคาต่ำสุดของสินทรัพย์) โดยการร่วงลงอย่างรุนแรงนี้ เกิดขึ้นหลังจาก Stakeholder รายใหญ่ที่สุดของธนาคารสวิสประกาศว่าจะไม่ให้การสนับสนุนและเพิ่มทุนอีกต่อไป
เมื่อปีที่ผ่านมานี้ลูกค้าของ Credit Suisse ถอนเงินไปกว่า 123 พันล้านฟรังก์สวิส (133 พันล้านดอลลาร์) ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในไตรมาสที่ 4 และธนาคารยังรายงานผลขาดทุนสุทธิประจำปีอยู่ที่เกือบ 7.3 พันล้านฟรังก์สวิส (7.9 พันล้านดอลลาร์) ซึ่งมากที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลกในปี 2008 ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดอย่าง ธนาคารแห่งชาติซาอุดี ( Saudi Nation Bank ) ก็ประกาศที่จะ ไม่เพิ่มทุนสนับสนุนช่วยเหลือทางการเงินให้กับ Credit Suisse
Ammar Al Khudairy กล่าวกับ Bloomberg ระหว่างที่ประชุมในซาอุดิอาระเบีย ว่า “ผมจะให้เหตุผลที่สุดนั่นคือ กฎข้อบังคับ และ กฎหมาย ตอนนี้ถือหุ้นถึง 9.8% ของธนาคาร หากเราทำเกิน 10% กฎกติกาใหม่ทั้งหมดจะเริ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโดยหน่วยงานกำกับดูแลของเรา หรือหน่วยงานกำกับดูแลของยุโรปหรือหน่วยงานกำกับดูแลของสวิส” ซึ่งการถือหุ้นมากกว่า 10% ก็จะผิดกฎของธนาคาร
แต่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี้ จากรายงานของ CNN รายงานว่า ธนาคารกลางสวิสออกมาประกาศว่า พร้อมจะให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ Credit Suisse ที่ประสบปัญหาดังกล่าวโดยหวังว่า จะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนว่าธนาคารมีเงินสดที่จำเป็นในการลอยตัว
ซึ่งทาง Credit Suisse กล่าวว่าต้องการที่จะกู้ยืมเงินมากถึง 50,000 ล้านฟรังก์สวิส หรือราว 53.7 พันล้านดอลลาร์ จากธนาคารแห่งชาติสวิส เพื่อหวังที่จะหยุดวิกฤตที่กำลังลุกลาม
Andrew Kenningham หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำยุโรปของ Capital Economics เขียน “Credit Suisse ไม่ใช่แค่ปัญหาของสวิส แต่เป็นปัญหาระดับโลก”
(ข้อมูลล่าสุด : วันที่ 16 มีนาคม 2566 เวลา 11:16 น.)
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด