ทำความรู้จัก พ.ร.บ e-Service จัดเก็บภาษีบริการอิเล็กทรอนิกส์ | Techsauce

ทำความรู้จัก พ.ร.บ e-Service จัดเก็บภาษีบริการอิเล็กทรอนิกส์

จากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขประมวลรัษฎากรฯ จัดเก็บภาษี e-Service หรือเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากแพลตฟอร์มดิจิทัลจากต่างประเทศที่ไม่มีบริษัทลูกในประเทศไทย หลาย ๆ ท่านอาจจะสับสนว่ามันคืออะไร มาทำความรู้จัก “พ.ร.บ e-Service” ได้ในบทความนี้

พ.ร.บ e-Service หรือพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่..) พ.ศ. .... (การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ หรือ อี-เซอร์วิส (e-Service) นั้นเกิดขึ้นมาจากความต้องการในการเพิ่มความเป็นธรรมระหว่างผู้ประกอบการในประเทศและต่างประเทศ และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่มให้เหมาะสมกับรูปแบบการประกอบธุรกิจในปัจจุบัน โดยมีสาระสำคัญดังนี้

1. แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า “สินค้า” หมายถึง ทรัพย์สินที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่างที่อาจมีราคาและถือเอาได้ ไม่ว่าจะมีไว้เพื่อขาย เพื่อใช้ หรือเพื่อการใดๆ และให้หมายรวมถึงสิ่งของทุกชนิดที่นำเข้า แต่ทั้งนี้ ไม่รวมถึงทรัพย์สินที่ไม่มีรูปร่างที่ส่งมอบโดยผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ตหรือเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์อื่นใด และเพิ่มบทนิยามคำว่า “บริการอิเล็กทรอนิกส์” หมายถึง บริการที่ส่งมอบโดยผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือเครือข่ายทางอิเล็กทรอนิกส์อื่นใด และ “อิเล็กทรอนิกส์แพลตฟอร์ม” หมายถึง ตลาด ช่องทาง หรือกระบวนการอื่นใดที่ผู้ให้บริการหลายรายใช้ในการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์แก่ผู้รับบริการ

 2. กำหนดให้

  1. ผู้ประกอบการที่ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศแก่ผู้ใช้ซึ่งไม่ใช่ผู้ประกอบการจดทะเบียนในประเทศและมีการใช้บริการนั้นในประเทศ ซึ่งมีรายได้จากการให้บริการดังกล่าวเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และให้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มโดยคำนวณจากภาษีขายโดยไม่ให้หักภาษีซื้อ

  2. สำหรับกรณีผู้ประกอบการต่างประเทศได้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์แก่ผู้รับบริการในประเทศไทยผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างประเทศ กำหนดให้รายได้ที่ได้รับจากการให้บริการนั้นเป็นฐานภาษีมูลค่าเพิ่มของดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างประเทศ ซึ่งหากดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างประเทศมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และให้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม

3. กำหนดให้การดำเนินการเกี่ยวกับเอกสารหลักฐานหรือหนังสืออื่นใดตามประมวลรัษฎากร และการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถกระทำผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ 

4. กำหนดห้ามไม่ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียน ที่ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศออกใบกำกับภาษี

ทั้งนี้ พระราชบัญญัติ เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม e-Service นี้ ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ระหว่างวันที่ 14-29 มกราคม 2563 เผยแพร่ผลการรับฟังความคิดเห็นพร้อมรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายให้ประชาชนได้รับทราบ และผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ลำดับต่อไปคือ ส่งร่างพระราชบัญญัติให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา และประกาศในราชกิจจานุเบกษา พร้อมทั้ง กรมสรรพากรจะดำเนินการจัดทำคู่มือการใช้กฎหมายทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษแก่ผู้ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย รวมถึงให้ข้อมูลตัวอย่างฐานภาษีของอิเล็กทรอนิกส์แต่ละลักษณะ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติตามกฎหมาย

 ธุรกิจกลุ่มใดที่เกี่ยวข้อง?

  • กลุ่ม E-Commerce เช่น eBay, Alibaba และ Amazon 
  • กลุ่มมีเดียและการโฆษณา เช่น Google, Facebook และ Line
  • กลุ่มบริการ เช่น บริการมาร์เก็ตติ้ง และ Evernote
  • กลุ่มการขนส่ง เช่น สายการบิน 
  • กลุ่มการท่องเที่ยว เช่น Booking และ Airbnb
  • กลุ่มดิจิทัลคอนเทนท์ เช่น Netflix, Iflix, Joox และ Spotify
  • กลุ่มซอฟต์แวร์ เช่น Apple
  • กลุ่มเกม 
  • กลุ่มโครงสร้าง เช่น บริการ Cloud
  • กลุ่มบริการการเงิน เช่น Paypal 
  • กลุ่ม Forex Investment
  • กลุ่มการพนันออนไลน์

ซึ่งสรุปโดยง่ายก็คือภาษี e-Service นั้นจะถูกจัดเก็บจากผู้ประกอบการที่ได้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ และมีการใช้บริการในประเทศ อย่างเช่น วิดีโอ เกม เพลง ภาพยนต์หรือดิจิทัลคอนเทนท์อื่น ๆ  เป็นต้น ซึ่งบริการดังกล่าวจะต้องมีรายรับเดิน 1.8 ล้านต่อปี โดยผู้ประกอบการจะต้องยื่นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร โดยก่อนหน้านี้ก็มีหลาย ๆ ประเทศที่เก็บภาษีผู้ให้ภาษีบริการ e-Service ต่างชาติบ้างแล้ว เช่น สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นและไต้หวัน 

โดยอธิบดีกรมสรรพากร ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ยังได้เผยอีกว่า “การปรับปรุงกฎหมายในครั้งนี้ จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมระหว่างผู้ประกอบการในประเทศไทยกับผู้ประกอบการในต่างประเทศ ที่ให้บริการในประเทศไทยให้ทำการจัดเก็บภาษีมีความเหมาะสม สอดคล้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และยังเป็นการปรับปรุงกฎหมายภาษีไทยให้มีความทันสมัยสอดคล้องกับแนวทางการจัดเก็บภาษีของนานาประเทศ และกรมสรรพากรคาดว่าการปรับปรุงกฎหมายในครั้งนี้จะช่วยทำให้จัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 3,000 ล้านบาท”


อ้างอิง: Thansettakij, กรมสรรพากร, กรุงเทพธุรกิจ


ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

Krungsri อัดฉีดสินเชื่อ 250,000 ลบ. สนับสนุนโครงการธุรกิจเพื่อสังคมและความยั่งยืน ดัน Low-Carbon Economy

กรุงศรี กับการก้าวสู่ปีที่ 80 เดินหน้าสู่เป้าหมาย “ยืนหนึ่งการเป็นธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน” ประกาศตัวเลขใหม่ในการสนับสนุนโครงการธุรกิจเพื่อสังคมและความยั่งยืน ถึง 25...

Responsive image

อินโดรามา เวนเจอร์ส ผลประกอบการปี 67 ปรับตัวดีขึ้น เติบโตแข็งแกร่งด้วยกลยุทธ์ IVL 2.0

อินโดรามา เวนเจอร์ส รายงานผลประกอบการปี 2567 เติบโตแข็งแกร่ง ด้วยกลยุทธ์ IVL 2.0 มุ่งลดต้นทุน เพิ่มกระแสเงินสด และสร้างมูลค่าอย่างยั่งยืน...

Responsive image

พาเดินเล่น Microsoft (ประเทศไทย) ย้ายออฟฟิศแห่งใหม่ในรอบ 30 ปี ออกแบบจากเสียงของพนักงานตอบโจทย์ Hybrid Work

Microsoft Thailand เปิดตัวออฟฟิศใหม่ที่ One Bangkok รองรับ Hybrid Work อย่างเต็มรูปแบบ ออกแบบจากข้อมูลพนักงาน พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย พื้นที่ทำงานที่ยืดหยุ่น และแนวคิดเพื่อความยั่งยื...