
รายงาน Chief Economists' Outlook September 2025 ฉบับล่าสุดจาก World Economic Forum (WEF) ได้ส่งสัญญาณเตือนครั้งสำคัญว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระเบียบเศรษฐกิจใหม่ ที่ขับเคลื่อนด้วยความไม่แน่นอน
โดยมีมุมมองจากนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำถึง 72% ที่คาดว่าเศรษฐกิจโลกโดยรวมจะอ่อนแอลงในปีที่จะถึงนี้ ซึ่งนี่ไม่ใช่การชะลอตัว แต่เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงที่จะส่งผลกระทบในระยะยาว
WEF เปิดเผยว่า โลกกำลังเผชิญปรากฎการณ์ Divergence หรือการเติบโตที่แยกขั้วชัดเจน โดยผู้เชี่ยวชาญกว่า 56% เชื่อว่าช่องว่างระหว่างประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนาจะยิ่งถ่างกว้างขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า
การแยกขั้วที่ว่านี้หมายความว่า เส้นทางการเติบโตของแต่ละกลุ่มประเทศจะแตกต่างกัน ประเทศพัฒนาแล้วมีแนวโน้มที่จะพึ่งพาเทคโนโลยี ความรู้ความชำนาญ และทุนมนุษย์ (human capital) ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนา มีแนวโน้มที่จะพึ่งพาการเข้าถึงเงินทุน และทรัพยากรธรรมชาติมากกว่า

รายงานคาดการณ์สถานการณ์ของสหรัฐฯ ที่คาดว่าแนวโน้มการเติบโตยังซบเซา ไม่มีการเติบโตที่แข็งแกร่ง และยังต้องเผชิญความเสี่ยงเงินเฟ้อระดับสูง สถานการณ์นี้อาจนำไปสู่การออกนโยบายการเงินที่จจะต้องผ่อนคลายลงเพื่อพยุงเศรษฐกิจ
ในฝั่งของยุโรป รายงานคาดว่าการฟื้นตัวยังคงเปราะบาง แม้จะมีทิศทางที่ดีขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อที่ควบคุมได้ แต่ภาพรวมยังเป็นการเติบโตระดับต่ำ
รายงานกล่าวถึงกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ (MENA) และเอเชียใต้ ที่จะกลายเป็นพื้นที่ที่มีแนวโน้มการเติบโตแข็งแกร่งที่สุด โดยนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าภูมิภาคเหล่านี้จะเติบโตในระดับแข็งแกร่ง หรือแข็งแกร่งมาก
ส่วนทางฝั่งจีน แม้คาดการณ์ว่าจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง แต่จีนกำลังเผชิญกับความท้าทายเฉพาะตัวคือภางะเงินฝืด โดยคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับที่ต่ำมาก
จะเห็นได้ว่า การที่กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ และยุโรปมีแนวโน้มเติบโตต่ำ ขณะที่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาใน MENA และเอเชียใต้กลับมีแนวโน้มเติบโตสูง สะท้อนให้เห็นถึงการแยกขั้วของการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

รายงานยังได้กล่าวถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดการขับเคลื่อน และอุปสรรคของโลกแต่ละขั้วด้วย ได้แก่
กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว
กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา
WEF ระบุว่าความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างใน 4 มิติสำคัญ ซึ่งจะส่งผลกระทบในระยะยาว ได้แก่
1.การค้าและห่วงโซ่อุปทาน
Trade เป็นด้านที่ถูกดิสรัปหนักที่สุด การค้าโลกกำลังประสบกับการหยุดชะงัก โดยนักเศรษฐศาสตร์กว่า 70% มองว่ามีความปั่นป่วนในระดับสูงมากจากสงครามการค้าและการตั้งกำแพงภาษี
2.นวัตกรรมและเทคโนโลยี
การมาถึงของ AI กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รายงานคาดว่า AI จะเริ่มสร้างความปั่นป่วนในเชิงพาณิชย์ในปีหน้า และกระตุ้นให้เกิดการลงทุนทั่วโลกมหาศาลในศูนย์มูล
3.ทรัพยากร พลังงาน และสิ่งแวดล้อม
รายงานคาดว่าความปั่นป่วนในด้านนี้จะยังคงอยุ่ต่อไปในระยะยาว จากปัจจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแบบสุดขั้ว และการแข่งขันด้านแร่ธาตุสำคัญ
4. สถาบันเศรษฐกิจโลก
สหประชาชาติ กำลังมีการปรับโครงสร้างคั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ และองค์การการค้าโลก กำลังถูกลดบทบาทลงท่ามกลางการปกป้องทางการค้าที่เพิ่มขึ้น รายงานคาดว่าการหยุดชะงักในด้านนี้จะนำไปสู่ผลกระทบที่เป็นระบบ ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในวงกว้าง
อีกหนึ่งประเด็นที่น่าจับตามองคือ ความกังวลด้านความยั่งยืนของหนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นประเด็นในประเทศที่กำลังพัฒนาเป็นหลัก ตอนนี้กำลังถูกย้ายมาอยู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว
เมื่อปี 2024 มีการระบุว่า หนี้สาธารณะทั่วโลกเกิน 100 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่ากว่าหนึ่งในสามของประเทศ ซึ่งคิดเป็น 75% ของ GDP โลก จะมีหนี้เพิ่มสูงขึ้นอีก
ความกังวลด้านความยั่งยืนของหนี้ กลายเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนา นอกจากนี้ประเทศที่พัฒนาแล้วยังถูกมองว่ามีอุปสรรคสำคัญในด้าน ความไร้เสถียรภาพทางการเมือง การแตกแยกทางสังคม และกำแพงการค้า
โดยสรุป โลกกำลังเดินเข้าสู่ยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย การเติบโตจะช้าลง ไม่เท่าเทียม และเต็มไปด้วยความเสี่ยงที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน การปลดล็อกศักยภาพการเติบโตที่ยังเหลืออยู่มหาศาลในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา จึงต้องอาศัยเจตจำนงทางการเมือง เงินทุนที่ตรงจุด และความร่วมมือระหว่างประเทศที่แข็งแกร่งกว่าเดิม
อ้างอิง : World Economic Forum
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด