การผสานพลังจาก 5 เทคโนโลยีหลักเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น Digital Hub แห่งอาเซียน | Techsauce

การผสานพลังจาก 5 เทคโนโลยีหลักเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น Digital Hub แห่งอาเซียน

ภาวะการชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศถือเป็นประเด็นสำคัญที่ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยต้องเผชิญในขณะนี้ หนึ่งในกุญแจสำคัญที่อาจเป็นคำตอบสำหรับเร่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจระดับประเทศได้คือการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศหรือที่เรียกกันว่า “เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy)” 

ซึ่งนอกจากจะเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยพัฒนาประเทศ ยังเปิดโอกาสให้ไทยก้าวเข้าสู่การเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลหรือ Digital Hub ของภูมิภาคอาเซียนได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม การจะยกระดับศักยภาพประเทศไทยให้ไปถึงขั้นนั้นได้จำเป็นต้องอาศัยการผสานพลังจาก 5 เทคโนโลยีหลัก ทั้งนี้ นายวรกาน ลิขิตเดชาศักดิ์ รองหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีเครือข่ายโทรคมนาคม บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจในไทยและสร้างสรรค์นวัตกรรมต่างๆ เพื่อส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานด้าน ICT ให้แก่ประเทศมาตลอด 21 ปี ได้กล่าวถึงความสำคัญและประโยชน์ของการผสานพลังของ 5 เทคโนโลยีซึ่งประกอบด้วย Connectivity, Computing, Cloud, AI และ Applications เพื่อผลักดันให้เกิดเศรษฐกิจแบบดิจิทัล ดังนี้

เทคโนโลยีแขนงแรกคือ การเชื่อมต่ออัจฉริยะ (Intelligent Connectivity) เน้นการเชื่อมต่อแบบอัจฉริยะและความเร็วสูง ซึ่งจะช่วยให้เกิดการนำไปใช้ในรูปแบบใหม่ที่หลากหลาย ด้วยการเชื่อมต่อในความเร็วระดับมากกว่า 100 Mbps นี้ จะทำให้มีการใช้งาน AR/VR หรือ Cloud gaming ที่แพร่หลาย และการเชื่อมต่อแบบ Hyper-Automation จะเพิ่มประสิทธิภาพของการเชื่อมต่อให้กับอุปกรณ์หลายๆชิ้นให้ทำงานร่วมกันได้ เช่น การใช้งานรถไร้คนขับ (Unmanned Car)  ที่ต้องอาศัยการสื่อสารระหว่างรถแต่ละคัน เพื่อให้สามารถเคลื่อนที่บนถนนด้วยกันได้อย่างปลอดภัย 

รวมถึงการใช้งานในภาคอุตสาหกรรมหรือเกษตรกรรม ที่อุปกรณ์จำนวนมากต้องทำงานพร้อมกันด้วยการเชื่อมต่อแบบการควบคุมที่มีความหน่วงต่ำ (low latency) เพื่อให้การควบคุมการใช้งานทางไกลสำหรับDrone หรือ หุ่นยนต์ สามารถสั่งการได้อย่างทันทีทันใด เทคโนโลยีแขนงที่สองคือ การคิดคำนวนประมวลผล (Computing) ในอนาคต อุปกรณ์ต่างๆ จะมีความส่ามารถในการคิดคำนวณด้วยตัวเองได้มากขึ้นและมีขนาดเล็กลง การคิดคำนวณต่างๆ จะไม่ได้จำกัดอยู่กับแค่คอมพิวเตอร์เมนเฟรมเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงอุปกรณ์อื่นๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์สวมใส่ (Wearable) ซึ่งจะเริ่มมีความสามารถในการคิดคำนวณได้มากขึ้นเช่นกัน สิ่งนี้นับเป็นแนวโน้มที่จะทำให้เกิดจำนวนของข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็จะใช้พลังงานน้อยลงเพื่อให้สอดคล้องกับการรักษาสิ่งแวดล้อม

เทคโนโลยีแขนงที่สามคือ เทคโนโลยี Cloud ซึ่งปัจจุบันได้นำมาใช้เป็นเครื่องชี้วัดความก้าวหน้าของการเปลี่ยนผ่านสู่

ยุคดิจิทัล (Digitalization) ทั้งในระดับองค์กรและระดับประเทศ โดยในอีก 5 ปีข้างหน้า ธุรกิจองค์กร (Enterprise) ต่างๆ กว่า 85% จะนำเทคโนโลยี Cloud มาใช้อย่างเต็มที่ถึง 100% เทคโนโลยีแขนงที่สี่คือ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – AI) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่สามารถคิดประมวลผลและตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อนำไปต่อยอดด้านความชำนาญในภาคอุตสาหกรรมนั้นๆ โดย AI จะทำให้เกิดประโยชน์กับทั้งตัวเครื่องจักร บุคลากร และภาคธุรกิจในภาพรวม ดังจะเห็นตัวอย่างได้จากการใช้เทคโนโลยี AI วินิจฉัยการติดเชื้อโควิด-19 ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา ซึ่งมีการดำเนินงานอย่างรวดเร็วในเวลาน้อยกว่า 1 นาทีสำหรับการวินิจฉัยโรคใหม่ หรือการนำเทคโนโลยี AI มาใช้วิเคราะห์การจราจร เพื่อหาวิธีการที่ทำให้รถติดน้อยที่สุด เป็นต้น 

เทคโนโลยีแขนงที่ห้าคือแอปพลิเคชันในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยผลักดันกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New S-Curve Industries) ทั้ง 12 อุตสาหกรรมของไทยให้สอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0 ได้ เช่น การนำเทคโนโลยี 5G เทคโนโลยีบรอดแบนด์ ประกอบเข้ากับเทคโนโลยี Cloud และแอปพลิเคชันต่างๆ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมนั้นๆ เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน เพื่อยกระดับศักยภาพการดำเนินงานของแต่ละภาคอุตสาหกรรมนั่นเอง

สำหรับประเทศที่พัฒนาแล้ว การผสานพลังของเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่นับเป็นเรื่องใหม่ แต่สำหรับประเทศไทยที่กำลังก้าวสู่การฟื้นฟูพร้อมพัฒนาเศรษฐกิจหลังได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก การมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยี 5G ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการช่วยเร่งเศรษฐกิจแบบดิจิทัลในไทยให้เกิดได้เร็วยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ประเทศที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนด้าน ICT จะมีผลทำให้ระดับของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (GDP) เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย โดยทุกๆ 20% ของการลงทุนด้าน ICT จะส่งผลให้ค่า GDP สูงขึ้น 1%  ถึงแม้ว่าจะเป็นปีแรกสำหรับประเทศไทยที่เริ่มมีเทคโนโลยี 5G, Cloud และ AI แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นก้าวแรกที่สำคัญ อันจะนำไปสู่การผสานพลังหรือ Synergy ของเทคโนโลยี จึงกล่าวได้ว่า

การลงทุนด้านดิจิทัล จะไม่เป็นการลงทุนเพียงเพื่อการอำนวยความสะดวก แต่เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) อย่างแท้จริง

คุณวรกานยังกล่าวเสริมในตอนท้ายว่า เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลในระดับภูมิภาคอย่างแท้จริง ยังมีแนวทางสำคัญที่จะช่วยผลักดันอีก 6 แนวทาง ได้แก่ การผลักดันให้เกิดการใช้เทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น การสร้างมาตรฐานและข้อปฏิบัติร่วมกัน การจัดตั้งพันธมิตรของกลุ่มพาร์ทเนอร์ในอีโคซิสเต็มของอุตสาหกรรมนั้นๆ การสร้างและพัฒนาบุคลากรด้าน ICT เพิ่มเติม การเตรียมความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานด้าน ICT และการจัดทำโครงการนำร่องในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น โครงการสาธารณสุขอัจฉริยะ (Smart Healthcare) หรือโครงการเกษตรอัจฉริยะ (Smart Agriculture) เป็นต้น ซึ่งบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมที่จะช่วยผลักดันทุกฝ่ายอย่างเต็มที่ เพื่อนำเทคโนโลยีดิจิทัลสู่ทุกคน ทุกครัวเรือน และทุกองค์กร เพื่อขับเคลื่อนโลกอัจฉริยะที่เชื่อมโยงถึงกันอย่างเต็มรูปแบบ

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

กรุงศรีตั้ง ปาลิดา อธิศพงศ์ นั่งรักษาการกรรมการผู้จัดการของ Krungsri Finnovate เดินหน้าสตาร์ทอัปไทย

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ประกาศแต่งตั้ง นางสาวปาลิดา อธิศพงศ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งรักษาการกรรมการผู้จัดการ Krungsri Finnovate...

Responsive image

ทีทีบี จับมือ databricks ผสานพลัง Data และ AI สร้างอนาคตการเงินที่ดีขึ้นให้คนไทย

ทีทีบี ตอกย้ำความมุ่งมั่นผลักดันดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับวงการธนาคารไทย จับมือพันธมิตร databricks พร้อมเดินหน้าสร้าง Data-driven Culture ปักธงก้าวสู่ธนาคารที...

Responsive image

LINE SCALE UP เปิดรับสตาร์ทอัพทั่วโลก ต่อยอดธุรกิจกับ LINE ก้าวสู่ระดับสากล

LINE SCALE UP เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน LINE Thailand Developer Conference 2024 ที่ผ่านมา เฟ้นหาสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพ และพร้อมต่อยอดธุรกิจร่วมกับ LINE สู่เป้าหมายยกระดับธุรกิจสตา...