เปิดรายงาน Deloitte Private Equity 2025: ไทยกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของการลงทุนในอาเซียน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี

ดีลอยท์ได้เผยแพร่รายงาน Private Equity (PE) 2025 Almanac – ฉบับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งนำเสนอข้อมูลอุตสาหกรรมในเชิงลึก การวิเคราะห์แนวโน้ม และข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยอ้างอิงจากฐานข้อมูลเฉพาะของดีลอยท์เกี่ยวกับสถานการณ์การลงทุนโดยกองทุน Private Equity โดยรายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นถึงบทบาทที่โดดเด่นของประเทศไทยในมุมมองของการลงทุนโดยกองทุน Private Equity ในภูมิภาคนี้

ในปี 2567 สถานการณ์การลงทุนโดยกองทุน Private Equity ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ การลงทุนโดยกองทุน Private Equity มีจำนวนธุรกรรมลดลง แต่มูลค่าการลงทุนในภูมิภาคนี้กลับเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงแนวโน้มของนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนในธุรกรรมที่มีขนาดใหญ่และมูลค่าสูงขึ้น

การลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยกองทุน Private Equity มีจำนวน 69 ธุรกรรมคิดเป็นมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 9.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 87 ธุรกรรมและมูลค่าการลงทุน 5.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2566 นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่า สัดส่วนของมูลค่าการลงทุนโดยกองทุน Private Equity ในภูมิภาคนี้เมื่อเทียบกับทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนั้นมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จากร้อยละ 3.7 ในปี 2565 เป็นร้อยละ 4.1 ในปี 2566 และเพิ่มเป็นร้อยละ 6.8 ในปี 2567

 การเพิ่มขึ้นของธุรกรรมการซื้อกิจการ (Buyout) ขนาดใหญ่และการนำบริษัทจดทะเบียนออกจากตลาดหลักทรัพย์ (Public-to-Private: P2P) ทำให้ขนาดเฉลี่ยมูลค่าลงทุนในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า จาก 168 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2566 เป็น 325 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567

 ธุรกรรม P2P มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นถึง 10 เท่า จาก 176 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2566 เป็น 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 แม้จำนวนธุรกรรมจะลดลงร้อยละ 28 แต่มูลค่าการลงทุนกลับเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 55 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ของนักลงทุน และนำไปสู่โอกาสในการควบรวมและซื้อกิจการที่มีมูลค่าสูงขึ้นในภูมิภาคนี้

 ในปี 2567 การลงทุนในภาคธุรกิจเทคโนโลยี สื่อ และโทรคมนาคม (TMT) ยังคงครองสัดส่วนสูงสุดในภูมิภาคนี้ โดยคิดเป็นประมาณร้อยละ 52 ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด ซึ่งเป็นผลมาจากบทบาทที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของภูมิภาคนี้ในฐานะศูนย์กลางด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และศูนย์ข้อมูล

 สิงคโปร์ยังคงครองอันดับหนึ่งในการเข้าลงทุนโดยกองทุน Private Equity ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามด้วยอินโดนีเซีย โดยทั้ง 2 ประเทศนี้มีสัดส่วนรวมกันร้อยละ 65 ของจำนวนธุรกรรมทั้งหมด และคิดเป็นร้อยละ 80 ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมดในภูมิภาคนี้ สะท้อนถึงสถานะความสำคัญของสิงคโปร์ในการลงทุนระดับภูมิภาค และความสำคัญอย่างยิ่งต่อนักลงทุนสถาบันที่ต้องการจัดสรรเงินลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 สำหรับประเทศไทยยังคงมีจำนวนธุรกรรมการลงทุนเพิ่มขึ้นในปี 2567 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมีการลงทุนโดยกองทุน Private Equity ในภาคอุตสาหกรรมคิดเป็นครึ่งหนึ่งของจำนวนธุรกรรมทั้งหมด ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งอยู่ในภาคการศึกษา โดย บริษัท Dymon Asia ได้ลงทุนในโรงเรียนนานาชาติ ซึ่งมีจำนวน 2 แห่งในไทย

แม้จะมีแรงกดดันทางเศรษฐกิจมหภาคทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ดีลอยท์ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มปี 2568 ทั้งนี้ คาดว่าปัจจัยบวกในไตรมาส 4 ปี 2567 ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตในปี2568 นองจากนี้ยังมีแรงสนับสนุนจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของภูมิภาคนี้และความสนใจจากนักลงทุนที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง

 จามิล ราซา ไซเอด Private Equity Leader ดีลอยท์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า 

“ความตึงเครียดด้านกำแพงภาษีและภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลกที่ยังดำเนินอยู่ ก่อให้เกิดความผันผวนทั้งในตลาดการเงินและธุรกรรมการควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) ส่งผลให้ผู้จัดการกองทุนเพิ่มความระมัดระวังและเริ่มทบทวนกลยุทธ์การลงทุน ในระยะสั้น การลงทุนอาจเกิดความล่าช้าเนื่องจากความไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม มุมมองระยะยาวของการลงทุนโดยกองทุน Private Equity ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเป็นบวก ด้วยปัจจัยบวกด้านโครงสร้างประชากรและตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่เอื้อต่อการเติบโต ประกอบกับแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยลงในหลายประเทศในภูมิภาคนี้ การสะสมเงินทุนจำนวนมากที่พร้อมสำหรับโครงการลงทุน และการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรมของระบบนิเวศของกองทุน Private Equity คาดว่าจะยังคงเห็นการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของธุรกรรมการลงทุนในกลุ่มนี้ในช่วงปี 2568” 

 คาดว่าการลงทุนในประเทศไทยจะยังคงได้รับความสนใจโดยเพาะอย่างยิ่งในภาคเศรษฐกิจดิจิทัล ศูนย์ข้อมูล และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพลังงาน ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของภูมิภาคนี้ที่นักลงทุนให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีและพลังงานสีเขียวมากขึ้น

 พรพรรณ เวสารัชเวศย์ พาร์ทเนอร์ แผนกการควบรวมและซื้อขายกิจการ (M&A) ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “สัดส่วนการลงทุน โดยกองทุน Private Equity ที่เพิ่มขึ้นของไทยในภูมิภาคนี้สะท้อนถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ตลอดจนความเชื่อมั่นระยะยาวของนักลงทุนต่อปัจจัยพื้นฐานของไทย โดยคาดว่าจะเห็นแนวโน้มการลงทุนอย่างต่อเนื่องในภาคอุตสาหกรรม การศึกษา และโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี เช่น ศูนย์ข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่เชื่อมโยงกับ AI ซึ่งมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว”

 สำหรับผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็มของ Deloitte Asia Pacific Private Equity 2025 Almanac – ฉบับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ที่ Deloitte.com

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

TECNO เปิดตัว POVA Slim 5G สมาร์ตโฟน 3D Curved บางที่สุดในโลก ดีไซน์ล้ำอนาคต แบตอึด 5,160 mAh

TECNO แบรนด์เทคโนโลยีนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI ประกาศเปิดตัวนวัตกรรมล่าสุดในซีรีส์ POVA อย่างเป็นทางการ ได้แก่ TECNO POVA Slim 5G สมาร์ตโฟน 5G 3D Curved ที่บางที่สุดในโลก...

Responsive image

วีซ่า เผย 5 ประเด็นสำคัญ ด้านความปลอดภัยและการสร้างความมั่นใจในระบบชำระเงินดิจิทัลไทย จาก Visa Forum 2025

วีซ่า ผู้นำการให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก ประกาศเดินหน้ายกระดับมาตรฐานความปลอดภัยธุรกรรมการเงินไทย ผ่านงานฟอรัมใหญ่แห่งปีในธีม “Navigating Tomorrow: Enabling Trust, Driving...

Responsive image

depa ปิดฉากความสำเร็จ ODOS Summer Camp รุ่นที่ 1 สร้างปรากฏการณ์ปั้นดิจิทัลทาเลนต์รุ่นใหม่

depa ปิดฉากความสำเร็จ ODOS Summer Camp รุ่นที่ 1 สร้างปรากฏการณ์ปั้นดิจิทัลทาเลนต์รุ่นใหม่ พัฒนาและยกระดับศักยภาพเยาวชนไทยผ่านหลักสูตรการเรียนรู้ด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีระดับนานาชาต...