KKP ปรับ GDP เหลือ 3.2% จากผลกระทบยูเครน-รัสเซีย ด้านเงินเฟ้อพุ่งแตะ 4.2% หวั่นราคาน้ำมันสูงกระทบไทยหนักกว่าประเทศอื่น | Techsauce

KKP ปรับ GDP เหลือ 3.2% จากผลกระทบยูเครน-รัสเซีย ด้านเงินเฟ้อพุ่งแตะ 4.2% หวั่นราคาน้ำมันสูงกระทบไทยหนักกว่าประเทศอื่น

KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ออกรายงาน “เศรษฐกิจไทยเปราะบางแค่ไหนเมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้น” โดยประเมินว่าจากผลจากสถานการณ์ความความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนในปัจจุบัน ทำให้ความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจโลกสูงขึ้น และเศรษฐกิจไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นเนื่องจากมีการพึ่งพาพลังงานในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ย้อนกลับไปช่วงที่มีการระบาดของโควิด -19 ไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงเช่นกัน  ทั้งสองเหตุกาณ์สะท้อนภาพคล้ายกันว่าเศรษฐกิจไทยมีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงภายนอกสูงมาก หรือขาดความยืดหยุ่นซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจในโลกปัจจุบันที่มีความไม่แน่นอนสูงกว่าเดิมมาก 

KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ออกรายงาน “เศรษฐกิจไทยเปราะบางแค่ไหนเมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้น” โดยประเมินว่าจากผลจากสถานการณ์ความความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนในปัจจุบัน ทำให้ความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจโลกสูงขึ้น

ลด GDP เหลือ 3.2% เงินเฟ้อพุ่งแตะ 4.2% 

KKP Research ปรับการคาดการณ์ GDP ปี 2022 ในกรณีฐานเหลือ 3.2% จากที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 3.9% โดยประเมินว่าความไม่แน่นอนต่อภาพแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อมีสูงขึ้นมาก จากผลกระทบของสถานการณ์ยูเครนและรัสเซีย และปรับประมาณการเงินเฟ้อเฉลี่ยจากที่เคยคาดไว้ที่ 2.3% สำหรับทั้งปี เป็น 4.2% จากต้นทุนราคาพลังงานและต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น  

จากสถานการณ์ความขัดแย้งมีโอกาสยืดเยื้อ และประเทศตะวันตกอาจจะใช้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม รวมถึงมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกพลังงาน KKP Research ประเมินว่าราคาน้ำมันจะแตะระดับสูงสุดที่ค่าเฉลี่ย 130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในไตรมาส 2 และราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีที่ 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยความไม่แน่นอนจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นและเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอาจจะกระทบทำให้การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกลดลง โดยช่องทางหลักที่เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบคือ 1) เศรษฐกิจในประเทศ: ในช่วงไตรมาส 2 ของปี เงินเฟ้อคาดว่าจะแตะระดับสูงสุดที่ 5.5% ทำให้กำลังซื้อของประชาชนลดลง 2) การส่งออก: การส่งออกชะลอตัวลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง โดยเศรษฐกิจยุโรปจะรับผลกระทบหนักกว่าภูมิภาคอื่น เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจรัสเซียมาก 3) นักท่องเที่ยว:การท่องเที่ยวได้รับผลกระทบ จากการเปิดประเทศที่ทำได้ช้ากว่าคาด และเศรษฐกิจยุโรปที่ได้รับผลกระทบกว่าคาดนับเป็นตลาดการท่องเที่ยวที่สำคัญของไทย 

อย่างไรก็ตาม ในกรณีเลวร้ายประเมินว่า มีโอกาสที่มาตรการคว่ำบาตรอาจจะรุนแรงมากขึ้น จนส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยทั้งปีที่ 130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และมีความเสี่ยงที่จะเกิดการขาดแคลนสินค้าโภคภัณฑ์และเศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยมากขึ้น ซึ่งจะดันให้อัตราเงินเฟ้อของไทยปรับตัวสูงขึ้นเป็น 5.1% ในขณะที่เศรษฐกิจไทยอาจเติบโตได้เพียง 2.7%   

น้ำมันแพงกระทบไทยมากกว่าประเทศอื่น   

ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อไทยมากกว่าประเทศอื่นเนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยมีการพึ่งพาการใช้น้ำมันสูงไม่ต่างจากในอดีต ในขณะที่ทั่วโลกมีแนวโน้มลดลง สะท้อนจากตัวเลขอัตราการบริโภคพลังงานต่อ GDP หรือ Energy intensity ซึ่งแสดงถึงประสิทธิภาพในการใช้พลังงานเพื่อการผลิตสินค้าและบริการ ด้วยเหตุนี้ เมื่อราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น เศรษฐกิจไทยจึงเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงและอ่อนไหวต่อปัจจัยภายนอกค่อนข้างมาก ทั้งนี้ แม้ว่าไทยจะเคยเจอเหตุการณ์คล้ายๆ กันมาแล้วในอดีตช่วงราคาน้ำมันแพง แต่โครงสร้างนโยบายยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสมและเพียงพอ 

ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่นำเข้าพลังงานสุทธิมากที่สุดประเทศหนึ่งในภูมิภาค ทำให้เมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้น ไทยจำเป็นต้องจ่ายเงินจำนวนมากขึ้นเพื่อนำเข้าน้ำมันและส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุลเพิ่มเติมได้มากโดยทุก ๆ 10% ของราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยขาดดุลเพิ่มเติมประมาณ 0.3%-0.5% ของ GDP หรือเทียบเท่ากับการนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนถึง 1 – 1.6 ล้านคน ในหลายครั้งเมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้นทำให้ดุลการค้าขาดดุลมากขึ้นจะเห็นค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงในเวลาเดียวกัน เช่นเดียวกันกับเงินเฟ้อของไทยที่ตอบสนองต่อราคาพลังงานมากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคจากการบริโภคพลังงานในสัดส่วนที่สูงกว่าแม้จะมีมาตรการอุดหนุนราคาจากภาครัฐบางส่วนแล้วก็ตาม 

เงินเฟ้ออาจสูงขึ้นได้มากกว่าคาด

KKP Research ประเมินว่าราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในปัจจุบันเป็นเพียงผลกระทบในขั้นแรก แต่ยังมีโอกาสที่ราคาสินค้าอื่น ๆ จะสูงขึ้นตามมาได้อีกซึ่งเกิดจาก 2 ประเด็น คือ  

  1. ราคาน้ำมันทำให้ภาระทางการคลังสูงขึ้น ในช่วงที่ผ่านมาภาครัฐได้ตรึงราคาน้ำมันดีเซลค้าปลีกไว้ที่ 30 บาทต่อลิตรและพยายามคงราคาก๊าซ LPG ผ่านเงินสมทบกองทุนน้ำมัน แต่เมื่อราคาดีเซลหน้าโรงกลั่นปรับเพิ่มขึ้นทำให้เงินอุดหนุนเพิ่มขึ้นตาม โดยในกรณีฐานที่ราคาน้ำมันโลกอยู่ที่ 110 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล หากไม่มีการปรับนโยบาย ภาครัฐอาจต้องใช้เงินสูงถึงเดือนละกว่า 2 หมื่นล้านบาท (หรือกว่า 2 แสนล้านบาทต่อปี คิดเป็น 1.8% ของ GDP) และทำให้ฐานะกองทุนน้ำมันขาดดุลมากขึ้น อย่างไรก็ตามด้วยราคาน้ำมันที่ยังคงอยู่ในระดับสูง อาจทำให้ภาครัฐต้องลดระดับการอุดหนุนราคาน้ำมันและปล่อยราคาน้ำมันขึ้นบางส่วน  KKP Research ประเมินว่า หากไม่มีการอุดหนุนเลย ราคาน้ำมันดีเซลอาจเพิ่มขึ้นเป็น 38-40 บาทต่อลิตรจากที่ตรึงไว้ที่ 30 บาทต่อลิตร ราคาก๊าซ LPG นั้น อาจปรับเพิ่มขึ้นเป็น 430 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัมจากที่รัฐบาลตรึงราคาไว้ที่ 313 บาท นอกจากนี้ ราคาค่าไฟฟ้าและราคาสินค้าอื่นๆที่เป็นสินค้าควบคุม อาจมีโอกาสปรับสูงขึ้นตามต้นทุน 
  2. แม้ว่าจะมีมาตรการควบคุมราคาบางส่วนราคาอาหารจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาพลังงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในช่วงปี 2004-2008 ไทยเคยเผชิญสถานการณ์เงินเฟ้อจากราคาพลังงานเร่งตัวขึ้นโดยเฉลี่ย 28% ต่อปี แม้ว่ากลุ่มสินค้าจำเป็นส่วนใหญ่ถูกควบคุมราคาตามมาตรการของกรมการค้าภายใน ราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มโดยทั่วไปยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 6% โดยราคาสินค้าย่อยบางประเภทปรับตัวสูงขึ้นมาก เช่น ผักผลไม้เพิ่มขึ้นถึง 14% ข้าว 9% และ เนื้อสัตว์ 7% เป็นต้น เนื่องจากราคาพลังงานเป็นต้นทุนหลักในการขนส่งสินค้าเกษตร ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจะทำให้ราคาสินค้าอื่นๆปรับตัวสูงขึ้น เพิ่มแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อรวม แม้เศรษฐกิจยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ 

ทบทวนมาตรการระยะสั้น มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาว 

ค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาพลังงานกำลังส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย มีความจำเป็นที่รัฐบาลอาจเข้าดูแลและบริหารจัดการ แต่ด้วยต้นทุนการคลังของการอุดหนุนเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว กำลังกลายเป็นความท้าทายจากต่อฐานะทางการคลังมากขึ้น และอาจจำเป็นต้องกลับมาทบทวนการดำเนินนโยบายเพื่อช่วยเหลือประชาชนใหม่อีกครั้ง ควรเน้นมาตรการที่ไม่เป็นการบิดเบือดตลาด ลดความเสี่ยงจากขาดแคลนสินค้า และการกักตุนสินค้า การอุดหนุนโดยการตรึงราคาน้ำมัน อาจไม่ใช่วิธีการจัดสรรทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ในภาวะที่ภาระการคลังสูงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นการช่วยเหลือที่มีลักษณะบิดเบือนราคาตลาด ทำให้คนไม่ลดการใช้พลังงานลงเมื่อราคาแพงขึ้น และอาจเป็นการให้เงินอุดหนุนกับกลุ่มคนที่ไม่มีความจำเป็นต้องได้รับการอุดหนุน ทำให้ต้นทุนภาคการคลังสูงเกินไปนอกจากนี้มาตรการอุดหนุนราคาเป็นการช่วยเหลือคนทุกกลุ่ม รวมทั้งกลุ่มผู้มีฐานะที่ใช้รถยนต์เครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนของภาครัฐ สูงเกินความจำเป็น  

KKP Research มองว่าการพิจารณาหากลไกที่ช่วยคัดครองผู้ได้รับผลกระทบและแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินนโยบายการคลังและลดผลกระทบได้จริงในระยะยาว นอกจากนี้ต้นทุนภาระทางการคลังในการอุดหนุนราคาน้ำมันกำลังจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในภาวะที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ยิ่งทำให้การใช้ทรัพยากรภาครัฐมีความจำเป็นต้องใช้อย่างคุ้มค่า นอกจากนี้ ในระยะยาวมีความจำเป็นในการปรับโครงสร้างให้เศรษฐกิจใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดการพึ่งพาพลังงานเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจไทย 

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ttb spark REAL change: จุดประกายไอเดียสร้างสรรค์เพื่อชีวิตทางการเงินที่ยั่งยืน

เตรียมพบกับงาน “ttb spark REAL change” งานแสดงนวัตกรรมดิจิทัลครั้งใหญ่ของ ทีทีบี ที่ชวนมาสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ ไอเดียที่สร้างสรรค์ ตอบโจทย์ และสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายให้...

Responsive image

Tech Provider ห้ามพลาด! ร่วมปั้น SMEs บุกตลาดใหม่กับ ETDA พร้อมทุนสนับสนุน 4.5 แสนบาท

ETDA เดินหน้าสานต่อ “SMEs GROWTH” ภายใต้ โครงการยกระดับนวัตกรรมด้านดิจิทัลเชิงพื้นที่ ประจำปี 2568 โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถปรับตัวและเติบโตอย่าง...

Responsive image

Future Food Leader Summit 2025 ปั้นไอเดีย 'อาหารฟื้นฟู' สู่ธุรกิจแห่งอนาคต

TASTEBUD LAB ร่วมกับ Bio Buddy พร้อมขับเคลื่อนอนาคตอาหารของ จัดงาน Future Food Leader Summit 2025: Regenerative Food for the Future เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาและนวัตกรรมอาหารอย่า...