ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และ นายกสภาวิศวกร ร่วมวิเคราะห์ 3 ปัจจัยกระตุ้นให้ “เวียดนาม” ชนะ “ไทย”
ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ กล่าวว่า จากเหตุการณ์ “กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา” เยือนอาเซียนอย่างเป็นทางการ ลงเครื่องพบผู้นำสิงค์โปร์ 3 วัน เพื่อกระชับความร่วมมือสนับสนุนสิงคโปร์เป็นศูนย์นวัตกรรมทางการแพทย์และสาธารณสุขระดับโลก ก่อนบิน(ข้ามประเทศไทย)ไปคุยกับผู้นำเวียดนามอีก 2 วัน แล้วบินกลับกรุงวอชิงตัน โดยที่ไม่มาประเทศไทย ถือว่าครั้งนี้ “สิงคโปร์” ได้ประโยชน์ไปเต็มๆ เพราะได้ทั้งความเชื่อมั่นในการเมืองระหว่างประเทศ ว่าคือ “ศูนย์กลาง หรือ ผู้นำชาติอาเซียน” ที่ได้ทั้งกำลังการลงทุนและได้ทั้งกำลังมันสมอง เพื่อยกระดับเศรษฐกิจของชาติ ไม่ว่ากัน เพราะสิงคโปร์กับอเมริกาผูกพันกันต่อเนื่องและยาวนาน แต่ “เวียดนาม” ประเทศสังคมนิยม ที่ในอดีตเกิดความขัดแย้งทางการทหารจนเกิดสงครามกับสหรัฐฯ แต่ในวันนี้เป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับสหรัฐฯ และกำลังก้าวขึ้นเป็น “จีน 2” ในเอเชีย
ซึ่ง ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ วิเคราะห์ถึงปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้เวียดนามก้าวกระโดดข้ามประเทศไทย มีดังนี้
1. “เวียดนาม” มีปริมาณกำลังคนประชากรมากกว่าไทย มีคน 100 ล้าน และไม่ใช่แค่คนระดับใช้แรงงาน แต่ยังมีคนระดับชั้นมันสมองเพิ่มมากขึ้น จากการพัฒนาการศึกษา “เชิงคุณภาพ” อย่างต่อเนื่องและจริงจัง ซึ่งพิสูจน์ได้จากเด็กเวียดนามที่ได้รับทุน (ของไทย) เพื่อมาศึกษาต่อในระดับปริญญาโทและเอก ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ผลลัพธ์คือ ทุกคนทั้งเก่งคณิตศาสตร์ (มากกว่าเด็กไทย) ภาษาอังกฤษก็เข้มแข็งกว่า มีความขยัน รับผิดชอบสูง
อย่างไรก็ตาม ตามข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงเด็กเวียดนามระดับกลาง เพราะระดับตัวท็อปจะเดินทางไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา โดยในวันนี้มีมากกว่า 24,000 คน ที่เน้นศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูง ขณะที่มีเด็กไทยเรียนอยู่ในอเมริกาเพียง 6,000 คน น้อยกว่าเวียดนาม 4 เท่า ซึ่งสะท้อนได้ว่า เวียดนามกำลังมี “คนระดับมันสมอง” โดยเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์ ที่เป็นรากฐานของการยกระดับประเทศมากกว่าไทย
2. “เวียดนาม” มีเงิน มีงบประมาณ เพราะเศรษฐกิจเวียดนามปีที่ผ่านมาเติบโตที่สุดของโลก ขณะที่ประเทศอื่น รวมทั้งไทย ติดลบ และแค่ครึ่งปีนี้เวียดนามโตไปมากกว่า 5% แล้วและมีแนวโน้มจะร้อนแรงยิ่งขึ้น เพราะเกิดการลงทุนจากต่างประเทศมหาศาล เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก มีบริษัทเกาหลีมาลงทุน 4,000 กว่าบริษัท ขณะที่มาไทย 400 บริษัท และมีบริษัทชั้นนำของโลกทุกแขนงกำลังมุ่งสู่เวียดนาม ทำให้เกิดการส่งออกสินค้ามูลค่าเพิ่มมหาศาล ซึ่งตอนนี้เวียดนามส่งออกมากกว่าไทยไปแล้ว และกำลังจะทิ้งห่างไปเรื่อย ๆ หากเราไม่คิดสู้
3. “เวียดนาม” มีความรักชาติ เป็นชาตินิยมสูง ถือเป็นจุดแข็งของเวียดนาม เด็กเวียดนามทุกคนเรียนรู้ “ประวัติศาสตร์ชาติ” รู้จัก “การต่อสู้ของลุงโฮ” ท่านโฮจิมินห์ บิดาของชาติ ที่เคยมาอยู่เมืองไทย รู้เรื่องราว การต่อสู้ ด้วยความทรหด อดทน ไม่ยอมแพ้ ให้ทั้งชีวิตเพื่อสร้างชาติ ทั้งคนเวียดนาม ปลูกฝังค่านิยม การรักการอ่าน การขยันเรียนในโรงเรียนเวียดนาม แม้ไม่ใหญ่ ไม่สวย เหมือนโรงเรียนไทย แต่คุณภาพไม่แพ้ใครในโลก ลองดูคะแนนมาตรฐาน PISA Score จะพบว่าเด็กเวียดนามทำคะแนนได้สูงสุดในอาเซียน เกือบเท่าเด็กสิงคโปร์ อย่างไรก็ตาม คนอเมริกันเชื้อสายเวียดนามในสหรัฐฯ ก็เรียนเก่ง ที่ MIT ที่เรียนจบมา ก็มีเด็กอเมริกันเวียดนามเยอะมาก ประสบความสำเร็จสูงมาก แม้แต่คุณหมอ พญ.ดร. พริสซิลลา ชาน ภรรยาของคุณมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก ก็เป็นคนเชื้อสายเวียดนาม คนเหล่านี้ยังสนับสนุนประเทศเวียดนามทุกรูปแบบเต็มที่
ดร.สุชัชวีร์กล่าวว่า “ผมไม่อยากให้คนไทยมองข้ามเรื่องนี้ รุ่นพ่อแม่เราเกิดมา ก็ไม่แพ้เกาหลี วันนี้เกาหลีเป็นประเทศชั้นนำของโลกไปแล้ว รุ่นที่ผมเกิดมาก็ไม่แพ้สิงคโปร์ ไม่แพ้มาเลเซีย วันนี้เขากระโดดไปไกลแล้ว และยอมรับว่าทำใจไม่ได้ที่เรากำลังเป็นรองเวียดนาม แม้เราไม่ได้อิจฉาเวียดนาม และก็ไม่ได้ชื่นชมว่าจะดีหรือเก่งกว่าไทยไปทุกเรื่อง เพียงแต่อยากให้คนไทยเรียนรู้ข้อเท็จจริง เพื่อนำมาวางแผนสู้ พัฒนาชาติไทย และต้องไม่ยอมแพ้” พร้อมเสริมว่า ยังมั่นใจในความสามารถของคนไทย ขอให้ทุกคนฮึกเหิมและขอให้กำลังใจคนไทยทุกคน
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด