นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับผู้บริโภคที่ถือบัตรมาสเตอร์การ์ด ยูเนี่ยนเพย์ หรือวีซ่า เพราะตอนนี้สามารถใช้แอปพลิเคชันที่รองรับ ‘QR Code มาตรฐาน’ บนสมาร์ทโฟนและโทรศัพท์มือถือที่มีกล้องถ่ายภาพสำหรับการชำระเงินได้อย่างสะดวก โดยสแกน QR Code ที่แสดงอยู่ในร้านค้า แล้วใส่รหัสยืนยันการชำระเงิน รอรับข้อความยืนยัน
การกำหนดสเปกมาตรฐานสากลสำหรับการชำระเงินด้วย QR Code จะทำให้ผู้บริโภคและผู้ค้าในประเทศไทยมีตัวเลือกเพิ่มมากขึ้นในการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยประโยชน์ของการใช้งานนั้นมี 3 ข้อ
ข้อแรก ผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องสแกน QR Code ที่แตกต่างกันสำหรับการชำระเงินด้วยบัตรมาสเตอร์การ์ด ยูเนี่ยนเพย์ และวีซ่า เพราะผู้ค้าจะแสดงเพียงแค่ QR Code เดียวที่หน้าร้านหรือผ่านแอปพลิเคชันมือถือของธนาคารที่บริการร้านค้า
ข้อที่สอง การทำธุรกรรมผ่านเครือข่ายการชำระเงินระดับโลกทั้งสามเครือข่ายนี้จะทำให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์การชำระเงินที่รวดเร็ว สะดวกสบาย และปลอดภัยที่สุด
ข้อที่สาม QR Code มาตรฐานนี้มีไว้เพื่อการใช้งานร่วมกันทั่วโลก เพียงแค่ผู้บริโภคมีแอปพลิเคชันบนมือถือที่รองรับ QR Code มาตรฐาน ก็สามารถชำระเงินได้ทุกที่ที่รับ QR Code มาตรฐาน
ขณะนี้ ธนาคารและร้านค้าอยู่ในระหว่างการดำเนินงานติดตั้ง QR Code มาตรฐาน คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 3 ของปี 2017 ซึ่งจะมีส่วนช่วยนโยบายรัฐบาลในการเพิ่มจุดชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ภายใต้โรดแมปการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติของกระทรวงการคลัง
นอกจากจะเป็นตัวเลือกทางการชำระเงินที่เข้าถึงได้ง่ายและปลอดภัยให้กับทุกภาคส่วนแล้ว QR Code มาตรฐานจะมีส่วนในการเติบโตและเร่งให้เกิดการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ทั่วประเทศ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายสำหรับการรับการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ลดลงสำหรับผู้ค้า และในอนาคต ผู้บริโภคชาวไทยจะได้รับประโยชน์จากการนำ QR Code ไปใช้ชำระเงินในเรื่องพื้นฐานขณะเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศได้อีกด้วย
เหวินฮุ่ย หยาง, สุริพงษ์ ตันติยานนท์, ฤชุกร สิริโยธิน และโดนัลด์ ออง
โดนัลด์ ออง ผู้จัดการทั่วไป ประจำประเทศไทยและเมียนมาร์ มาสเตอร์การ์ด กล่าวว่า การเปิดตัวระบบ QR Code มาตรฐาน ในวันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของก้าวย่างที่สำคัญของประเทศไทย เพราะจะทำให้ผู้บริโภคพร้อมยอมรับและหันมาใช้เทคโนโลยีสำหรับการจ่ายเงินในรูปแบบใหม่ได้รวดเร็วขึ้น
“จากการสำรวจของมาสเตอร์การ์ดพบว่า ร้อยละ 50 ของผู้บริโภคที่มีอายุน้อยทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะหันมาใช้ QR Code ทันที และเรามั่นใจว่าเป็นแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยเช่นกัน ความต้องการใช้ QR Code จะแพร่หลายยิ่งขึ้นเมื่อเทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้ในร้านค้าขนาดย่อมทั่วประเทศ รวมถึงใช้สำหรับการจ่ายบิลและการชำระเงินแบบเรียกเก็บปลายทาง และด้วย QR Code นี้พัฒนาด้วยมาตรฐานเดียวกับ QR ทั่วโลก ทำให้ผู้ถือบัตรมาสเตอร์การ์ดใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการได้ทุกแห่งทั่วโลกที่รับ QR Code มาตรฐาน โดยสามารถมั่นใจในความปลอดภัย ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของบริการที่มาสเตอร์การ์ดมอบให้ผู้ถือบัตร ควบคู่ไปกับการสนับสนุนให้ประเทศไทยพัฒนาไปสู่การเป็นสังคมไร้เงินสด”
เหวินฮุ่ย หยาง ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท ยูเนี่ยนเพย์ อินเตอร์เนชันแนล กล่าวว่า ในฐานะที่ทางยูเนี่ยนเพย์เป็นเครือข่ายการชำระเงินระดับโลก เราขอนำเสนอโซลูชั่นส์ทางการชำระเงินเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน ซึ่งจะเป็นทางเลือกและรองรับความสะดวกสบายทางการชำระเงินให้กับผู้ใช้งานรวมถึงกลุ่มธุรกิจต่างๆ
“สำหรับ ‘QR Code มาตรฐาน’ เป็นย่างก้าวสำคัญทางด้านนวัตกรรมของสถาบันการชำระเงินในประเทศไทย ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานและร้านค้าต่างๆ สามารถชำระเงินผ่านระบบ QR Code ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย โดยระบบดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพทางการชำระเงิน อีกทั้งเรายังเดินหน้าผนึกกำลังกับธนาคารแห่งประเทศไทยสำหรับสร้างสรรค์โซลูชั่นส์ทางการชำระเงินเพื่อส่งมอบสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ใช้งานในประเทศไทย โดยยูเนี่ยนเพย์เชื่อว่า QR Code มาตรฐานจะสนับสนุนระบบเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้เพื่อก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสดอย่างแท้จริง”
วิดีโอเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ QR Code มาตรฐานในประเทศไทย
สุริพงษ์ ตันติยานนท์ ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า เชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการพัฒนาการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ให้เติบโตแบบยั่งยืน ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคและผู้ค้ารายย่อยในระยะยาว เนื่องจากจะช่วยการลดค่าใช้จ่ายรวมถึงง่ายต่อการติดตั้ง และเป็นทางเลือกที่สำคัญอีกทางนอกเหนือเครื่อง POS แบบเดิม
“ความสำเร็จของ mVisa จากทั่วโลกได้พิสูจน์แล้วว่าโซลูชันส์ QR Code มาตรฐานของวีซ่า มีความยืดหยุ่น ความปลอดภัย และใช้งานได้อย่างง่ายดาย ซึ่งการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้นมีส่วนผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ ด้วยเม็ดเงินที่มีมูลค่ากว่า 3.8 พันล้านดอลลาร์หรือ 113 พันล้านบาทโดยประมาณ ที่เพิ่มเข้าไปใน GDP ของประเทศตั้งแต่ปี 2554 ถึง 2558 เรามุ่งหวังที่จะเป็นพันธมิตรที่ดีกับสถาบันการเงิน ลูกค้า ร้านค้า และภาครัฐต่อไปเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ และขยายการเข้าถึงการชำระเงินแบบดิจิทัลในประเทศไทย ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการเติบโตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคนและทุกที่”
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด