ศูนย์วิจัย MOVE มจธ. ร่วมกับ กรมควบคุมมลพิษ เตรียมเสนอภาครัฐเเก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 | Techsauce

ศูนย์วิจัย MOVE มจธ. ร่วมกับ กรมควบคุมมลพิษ เตรียมเสนอภาครัฐเเก้ปัญหาฝุ่น PM2.5

ศูนย์วิจัย MOVE มจธ. ร่วมกับกรมควบคุมมลพิษ เตรียมชงเเก้ฝุ่น PM2.5 ในงานเสวนา ความเป็นไปได้การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ยานยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ เเละ ยานยนต์มาตรฐานยูโร 6 เเทนการใช้เครื่องยนต์ดีเซล พร้อมเสนอ ทางออก สู่ลมหายใจไร้ฝุ่น 

รศ.ดร. ยศพงษ์ ลออนวล ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายพัฒนาความยั่งยืน และหัวหน้าศูนย์วิจัย Mobility and Vehicle Technology Research Centerรศ. ดร.ยศพงษ์ ลออนวล ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายพัฒนาความยั่งยืน และหัวหน้าศูนย์วิจัย Mobility and Vehicle Technology Research Center (MOVE) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) จัดงานเสวนาเปิดโครงการ “การศึกษาความเป็นไปได้ในการทดแทนรถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลในปัจจุบันด้วยยานยนต์ไฟฟ้า ยานยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ และยานยนต์ที่ได้มาตรฐานค่าไอเสียยูโร 6 ในเขตกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล เพื่อลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในบรรยากาศ” ณ อาคาร KX โดยภายในงาน ดร. พรศรี สุทธนารักษ์  ผู้อำนวยการกองจัดการคุณภาพอากาศเเละเสียง  กรมควบคุมมลพิษ เข้าร่วมงานเสวนาในครั้งนี้ด้วย 

รศ. ดร. ยศพงษ์ ลออนวล เสนอแนวคิด “การเดินทางที่ยั่งยืน (Sustainable Mobility)” หมายถึง การเดินทางและขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม โดยไม่สร้างปัญหาต่อคนรุ่นหลัง และมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมีหลักการของการเดินทางเเละขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบไปด้วย 3 แนวทาง ได้แก่ 

1. การหลีกเลี่ยงการเดินทาง หรือ การลด (Avoid/Reduce) ตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้วคือ Work From Home ที่หน่วยงานหลายแห่งเริ่มให้พนักงานทำงานที่บ้านได้เพื่อลดการเดินทาง ส่งผลให้ระบบการทำงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น (System Efficiency) 

2. การปรับเปลี่ยน (Shift) การเดินทางโดยหันมาใช้การเดินทางด้วยการขนส่งสาธารณะซึ่งเป็นการเดินทางร่วมกันส่งผลให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นทั้งในเชิงของการประหยัดพลังงานและการระบายมลพิษทางอากาศ หรือที่เราเรียกว่าการเดินทางอย่างมีประสิทธิภาพ (Travel Efficiency) 

3. การพัฒนา (Improve) ยานยนต์ให้ใช้เชื้อเพลิงหรือพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Vehicle Efficiency) นอกจากนี้ยังต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคมที่จะนำไปสู่ทางออกร่วมกัน เริ่มที่ ภาครัฐ จะต้องมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้กำหนดนโยบาย เเก้ไขกฎระเบียบ เเละร่วมมือกับภาคส่วนอื่นๆ รวมทั้งต้องเป็นผู้นำในการริเริ่มโครงการต่างๆ 

จากปัญหา PM2.5 ภาครัฐ ควรดำเนินการเร่งด่วนในการประกาศการบังคับใช้มาตรการระบาดมลพิษทางอากาศจากยานยนต์ใหม่ เป็นระดับยูโร 5 6 ภายในปี 64 เเละ 65 อย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจัง โดยภาครัฐต้องเริ่มก่อน เช่น รถโดยสารไฟฟ้าของ ขสมก. ส่วน ภาควิชาการ มีบทบาทสำคัญในการวิจัย เเละพัฒนาเทคโนโลยี เเละพัฒนาบุคลากรของประเทศ ภาคเอกชน ต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์เเละบริการที่ใช้งานได้จริง เเละราคาที่เหมาะสม เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้งานที่เหมาะสม  เเละสุดท้ายคือ ภาคประชาชน ต้องร่วมมือกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ในการเดินทางในวันนี้ สิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การเดินทางที่ยั่งยืน  สู่ลมหายใจไร้ฝุ่น “Move forward for the better breath”

จากสถานการณ์ ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM 2.5 ที่ต้นเหตุส่วนใหญ่มาการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงดีเซล ค่าฝุ่นละอองที่สูงมักปรากฎในช่วงฤดูเเล้งของประเทศไทยทุกๆ ปี จากสถิติปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 โดยกรมควบคุมมลพิษ  ในพื้นที่กรุงเทพมหานครฯ พบว่า ตั้งเเต่ปี พ.ศ. 2561 - 2563 ค่าฝุ่นละออง PM 2.5 ในช่วงเดือน ธันวาคมถึงเดือนมีนาคมมีค่าPM 2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมงเกินมาตรฐาน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ค่อนข้างมาก ในขณะที่ช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาตั้งเเต่ วันที่ 10 ธันวาคม 2563 เว็บไซต์ air4thai.pcd.go.th  ก็รายงานข้อมูลปริมาณฝุ่นละออง ที่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันคือ ค่าความเข้มข้นของฝุ่นละอองที่เกินค่ามาตรฐาน โดยมีค่าความเข้มข้นPM2.5 ใน 24 ชั่วโมงเฉลี่ยมากกว่า 80 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร 

ดังนั้นหนึ่งในเเนวทางการเเก้ปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในกรุงเทพมหานครเเละปริมณฑลคือการกำหนดมาตรฐานไอเสีย ที่ปัจจุบันประเทศไทย ยังกำหนด มาตรฐานไอเสียยูโร 4 สำหรับยานยนต์ดีเซลขนาดเล็ก เเละยูโร 3 สำหรับยานยนต์ขนาดใหญ่ เเละมีเเผนจะปรับค่ามาตรฐานเป็น ยูโร5 เเละ ยูโร6 ปรับมาตรฐานที่เข้มข้นขึ้นกว่าปัจจุบัน โดยใช้มาตรฐานค่าไอเสียยูโร 5 เเละ ยูโร 6 ซึ่งจะมีความเข้มงวดมากขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ รวมไปถึงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงให้มีกำมะถันผสมอยู่ไม่เกิน 10 ส่วนในล้านส่วน และอีกเเนวทางหนึ่งคือ การเปลี่ยนยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลมาเป็นการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า หรือยานยนต์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง เพื่อลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) จากภาคขนส่งทางถนน เป็นต้น  

ดร. พรศรี สุทธนารักษ์  กล่าวว่า “กรมควบคุมมลพิษ มีมาตรการในการตรวจจับรถยนต์ เเละรถโดยสารสาธารณะที่ปล่อยมลพิษหรือควันดำบนท้องถนน เกินค่ามาตรฐานอย่างจริงจังมากขึ้นในขณะนี้ เราทราบดีว่า ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กค่อนข้างสูง ทำให้กระทบต่อสุขภาพประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน เเละประชาชนก็อยู่ในภาวะวิตกกังวลกับคุณภาพชีวิต ซึ่งทางเราก็ไม่นิ่งนอนใจในปัญหาดังกล่าวเเต่อย่างใด”

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

NIA เปิดเวที AGROWTH เร่งการเติบโตดีพเทคสตาร์ทอัพเกษตร

NIA เดินหน้าสร้างสตาร์ทอัพ สายเกษตรให้เพิ่มขึ้น โดยมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีเชิงลึก เพื่อเร่งการเติบโตและแก้ไขปัญหาซ้ำซ้อนในภาคเกษตร ที่ต้องการปรับเปลี่ยนการทำเกษตรแบบเดิมไปสู่การพึ่...

Responsive image

ไทยมี ‘ผู้บริหารหญิง’ นั่งบอร์ด แค่ 19% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก-อาเซียน

มีผู้หญิงจำนวนน้อยกว่าหนึ่งในสี่ (ร้อยละ 23.3) ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการทั่วโลก โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 นับตั้งแต่รายงานฉบับล่าสุดที่เผยแพร่ในปี 2565...

Responsive image

EVAT จับมือ กฟผ. และ ม.กรุงเทพธนบุรี จัดแข่งรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง พร้อมลงนาม MOU พัฒนายานยนต์ไฟฟ้า

สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย จับมือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี พร้อมเดินหน้าจัดงานแข่งขันรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงเพื่อธุรกิจแห่งอนาคต ครั้งที่ 3 พร้อมลงนามบั...