จากชาวสวนยางพารา สู่การสร้างมูลค่าให้กับเห็ดแครง แบรนด์ Mudjai : มัดใจ Plant-Based Food จากเห็ดแครง | Techsauce

จากชาวสวนยางพารา สู่การสร้างมูลค่าให้กับเห็ดแครง แบรนด์ Mudjai : มัดใจ Plant-Based Food จากเห็ดแครง

ชั่วโมงนี้เทรนด์การบริโภคที่กำลังฮอตฮิตทั่วโลกคงหนีไม่พ้น “Plant-based” หรือที่คนไทยหลาย ๆ คนอาจจะเรียกกันอย่างติดปากว่า เนื้อเทียม เนื้อจากพืช ฯลฯ แต่จริง ๆ แล้วนั้นคือ “โปรตีนจากพืช” ที่เข้ามาช่วยทดแทนการรับประทานเนื้อสัตว์ ทั้งในกลุ่มผู้รับประทานมังสวิรัติ หรือแม้แต่กระทั่งผู้ที่นิยมการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ อย่างไรก็ตามเทรนด์ดังกล่าวเป็นกระแสที่เข้ามาจากต่างประเทศ จุดเริ่มต้นในการพัฒนา Plant-based ก็ถูกคิดค้นโดยคนต่างชาติ และจากการตอบรับกระแสที่มาแรงนี้เอง ในระยะแรกจึงทำให้ต้องมีการอิมพอร์ตอาหารประเภทดังกล่าวจากต่างประเทศ ซึ่งทำให้อัตราการไหลเวียนของเงินไหลออกไปสู่ต่างชาติ รวมทั้งในเรื่องรสชาติก็อาจยังไม่ถูกจริตกับคนไทยเท่าใดนัก  

เพื่อเกาะกระแสกับตลาด “Plant-based” ที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และคาดว่ากำลังจะเข้ามา Disrupt “เนื้อสัตว์จริง” ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ วันนี้โครงการพัฒนานักส่งออกรุ่นใหม่ : Young Exporter from Local to Global หรือ YELG โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จะพาไปทำความรู้จักกับผู้คิดค้น Plant-based จากวัตถุดิบในท้องถิ่น ที่มีความโดดเด่นทั้งในเรื่องรสชาติ ความคล้ายคลึง และคุณประโยชน์ที่อัดแน่นยิ่งกว่าการรับประทานเนื้อสัตว์จริง และที่ไม่ธรรมดายิ่งกว่านั้นคือ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้เตรียมตีตั๋วออกจำหน่ายในต่างประเทศ เพื่อพิสูจน์ให้ผู้บริโภคทั้งโลกได้รู้ว่า “Plant-based” จากเมืองไทยนั้นเจ๋ง และรสชาติแจ๋วไม่แพ้เมืองนอกแน่นอน 

ภาณุวัตร กิ้มหิ้น กรรมการบริษัท อินโนโฟ จำกัด ผู้พัฒนา MJ Mudjai plant based food เล่าว่า ที่ผ่านมาตนมีอาชีพปลูกยางพาราเป็นหลัก แต่เนื่องจากความไม่แน่นอนของราคายางที่บางปีต่ำมาก บางปีสูงมาก ทำให้ตนเองไม่สามารถควบคุมรายได้ในแต่ละปีได้ รวมไปถึงต้นทุนการลงทุนและกำไรค่อนข้างไม่สอดรับกับต้นทุน จึงทำให้ตนเริ่มมองหาอาชีพเสริมด้านอื่น ๆ เพื่อสร้างรายได้จึงได้เริ่มต้นทำฟาร์มเห็ดแครง...ปลูกแซมในร่องสวนยางเพราะเพื่อนทำอยู่และรายได้ค่อนข้างดีสามารถขายได้ราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 250 บาท  ประกอบกับในพื้นที่สามารถเพาะเห็ดแครงได้ในคุณภาพดี ตนจึงหันมาร่วมกับเพื่อน ๆ  ทำฟาร์มเห็ดแครงและเริ่มทำเห็ดแครงอบแห้ง ส่งขายไปยังประเทศเพื่อนบ้านใกล้ ๆ เพื่อทดลองตลาดก่อน ซึ่งปรากฏว่าเห็ดแครงอบแห้งได้รับความนิยมค่อนข้างมาก เพราะสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลายอย่าง หลังจากนั้นได้มีการส่งเสริมให้เกษตรในพื้นที่หันมาเพาะเห็ดแครงกันมากขึ้นเพื่อทำเป็นรายได้เสริมในช่วงที่ไม่สามารถกรีดยางได้ หรือในช่วงที่ราคายางตกต่ำ  เมื่อเห็นช่องทางและมีประสบการณ์การเพาะเห็ดแครง รวมถึงปริมาณความต้องการที่มากขึ้น ตนและเพื่อนเริ่มร่วมมือกันก่อตั้งบริษัทขึ้นมา  และเริ่มมองหาวิธีการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากเห็ดแครงให้มีความหลากหลาย รวมไปถึงเปิดสอนพี่น้องเกษตรกรในพื้นที่ที่สนใจเพาะปลูกเห็ดแครง จนสร้างเป็นเครือข่ายเกษตรกรเพื่อช่วยเหลือเรื่องความรู้ และรับซื้อผลผลิตคืน เพื่อสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันได้ โดยเริ่มจากการพิจารณาคุณสมบัติของเห็ดแครงที่มีความหนึบคล้ายเนื้อสัตว์ก่อน และมีสารอาหารประเภทโปรตีนสูงและต่อยอดโดยการคิดว่าเราจะสามารถทำอะไรกับคุณสมบัติพิเศษของเห็ดแครงได้บ้าง จนเป็นที่มาของการพัฒนาแพลนต์เบสแบรนด์ Mudjai : มัดใจ ในปัจจุบัน 

รู้ช่องทางต่อยอด หัวใจสำคัญในการเติบโตที่ไม่รู้จบ

จุดเริ่มต้นในการทำ Plant-based มาจากที่ตนได้เข้าร่วมโครงการกับหน่วยงานรัฐ จึงทำให้รู้ว่าตลาด Plant-based ในต่างประเทศกำลังโตมาก แต่ในขณะนั้นประเทศไทยยังไม่ได้มีการพูดถึงมากเท่าที่ควร และยังไม่มีการผลิต Plant-based ขายในประเทศเองแต่เป็นการนำเข้ามาจากต่างประเทศเท่านั้น ดังนั้นตนและทีมงานจึงจุดประกายแนวคิดว่าเราควรจะทำแพลนต์เบสจากวัตถุดิบท้องถิ่นที่สามารถเสิร์ฟไปให้คนทั่วโลกได้ลองรับประทานได้ จึงเป็นที่มาของแบรนด์มัดใจ และได้เริ่มคิดสูตรที่จะนำเห็ดแครงมาพัฒนาเป็นโปรตีนทางเลือกให้แก่กลุ่มคนที่รับประทานมังสวิรัติหรือวีแกน รวมไปถึงกลุ่มคนที่ดูแลสุขภาพ จากนั้นประมาณช่วงปี 2018 จึงเริ่มปล่อยผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดซึ่งพบว่าได้รับความนิยมค่อนข้างดี  

สำหรับเห็ดแครงนั้นเป็นเห็ดท้องถิ่นของทางภาคใต้ ที่พบมากในฤดูฝน ดอกขนาดเล็ก 1-4 ซม.สีขาวอมน้ำตาล คุณสมบัติที่โดเด่นของเห็ดแครงคือมีเนื้อสัมผัสที่เด้งสู้ฟัน  มีโปรตีนค่อนข้างสูง ประมาณ 17% ซึ่งเห็ดชนิดอื่น ๆ มีแค่ 2-3%  มีสารเบต้ากลูแคนสูงซึ่งช่วยในการยับยั้งเซลล์มะเร็ง รวมทั้งมีกรดอะมิโนจำเป็นทุกชนิดเหมือนกับเนื้อสัตว์ และมี fiber สูงช่วยในระบบการย่อยและการขับถ่าย ด้วยคุณสมบัติดังกล่าวจึงเป็นข้อแตกต่างของแบรนด์มัดใจและแบรนด์อื่น ๆ อย่างมาก ซึ่งจะเห็นได้ว่า Plant-based ของเราเป็นอาหารที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อความยั่งยืนของจริง 

แพลนต์เบสที่เป็นมากกว่าอาหารเพื่อสุขภาพ 

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของทางบริษัทที่วางจำหน่ายมีทั้งหมด 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหาร Freeze dry เป็นการแปรรูปอาหารให้คงไว้ซึ่งรสชาติเหมือนรสชาติอาหารสด  ซึ่งจะมีทั้งหมด 2 เมนู ได้แก่ ลาบ แกงคั่ว ทั้งสองเมนูจะใช้เห็ดแครงเป็นวัตถุดิบหลัก และผสมผสานสมุนไพรท้องถิ่นเข้าไป ซึ่งนอกจากจะให้รสชาติดีแล้ว สมุนไพรยังส่งผลต่อร่างกายร่วมด้วย และกลุ่มอาหารแช่แข็ง (Frozen) จะเป็นผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ Plant-based จากเห็ดแครงและขนุนอ่อน แบบไม่มีการปรุงแต่งรสชาติ ไม่ใส่สี และไม่แต่งกลิ่น เน้นการให้รสชาติที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด เพื่อให้ผู้บริโภคนำไปปรุงอาหารได้ตามใจชอบ นอกจากนี้ ทางแบรนด์มัดใจยังได้ตระหนักถึงแนวการบริโภคของกลุ่มผู้รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพที่ขณะนี้ไม่ได้ต้องการแต่เรื่องคุณประโยชน์แต่ต้องควบคู่ไปกับรสชาติที่ดี จึงมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมเพื่อให้มีความหลากหลายอย่างหมูปิ้ง Plant-based ไขมันต่ำที่ทางบริษัทมีการเสียบไม้ ปรุงให้รสชาติอร่อยเสมือนหมูปิ้งของจริงเพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่กว้างมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคนที่เลือกทานโปรตีนทางเลือกเพื่อสุขภาพ

แบรนด์ชุมชนกับแนวคิดติดปีกสู่ตลาดโลก

มัดใจเล็งเห็นว่า Plant-based เป็นอาหารทางเลือกที่มีอัตราการเติบโตมากที่สุด โดยเฉพาะประเทศในแถบยุโรป และตะวันตก ซึ่งหลายปีที่ผ่านมาผู้บริโภคเริ่มหันมาสนใจ และให้ความสำคัญกับอาหารเพื่อสุขภาพ อาหารที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม การทำธุรกิจอาหารที่เป็นมิตรกับคนและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการทำธุรกิจแบบ Circular Economy จากการเล็งเห็นความนิยมดังกล่าว ทางแบรนด์จึงมีแนวคิดที่จะนำสินค้า Plant-based ไทยให้เป็นที่รู้จัก และต่อยอดวัตถุดิบให้มีมูลค่าที่สูงขึ้น จึงได้ร่วมโครงการพัฒนานักส่งออกรุ่นใหม่ หรือ YELG ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศซึ่งทำให้บริษัทได้กลยุทธ์ใหม่ ๆ และได้แนวทางสำหรับการทำธุรกิจส่งออกไปต่างประเทศค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นหลักการบริหารจัดการงบประมาณ ช่องทางในการขออนุญาตสำหรับทำการส่งออก ร่วมไปถึงการสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่นิยมของตลาด ความรู้เหล่านี้ช่วยให้การวางแผนธุรกิจเป็นไปในทิศทางที่ดีและเหมาะสม และแน่นอนว่าความรู้ทีได้มาจะช่วยขับเคลื่อนให้เป้าหมายการส่งสินค้าไปจำหน่ายต่างประเทศเป็นจริงได้มากขึ้นด้วย โดยบริษัทวางแผนว่าหลังจากจบการระบาดโควิด – 19 จะเดินหน้าเพื่อส่งสินค้าไปขายในต่างประเทศตามเป้าหมายที่วางไว้ 

“สำหรับการแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ Plant-based ในตลาดทั่ว ๆ ไปนั้น ตนมองว่าสิ่งสำคัญคือการขายความจริงให้กับผู้บริโภคผ่านการส่งต่อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีมาตรฐานให้กับลูกค้า รวมไปถึงการนำเอาอัตลักษณ์ของพืชทางการเกษตรของประเทศไทยมาพัฒนาเป็น Plant-based ที่มีคุณภาพเทียบเท่ากับต่างประเทศ นอกจากนี้บริษัทยังเน้นการทำ CSR ร่วมกับชุมชนโดยการรับซื้อเห็ดจากลูกฟาร์มในพื้นที่ เพื่อเกื้อหนุนให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคงมากกว่าที่เป็นอยู่ รวมไปถึงเป้าหมายในการผลักดันให้เห็ดแครงกลายเป็นพืชเศรษฐกิจของไทยอีกหนึ่งชนิด ที่จะมีบทบาทเข้ามาขับเคลื่อนมูลค่าสินค้าชุมชนในภาพรวม ซึ่งความยั่งยืนทั้งระบบเหล่านี้เรายังไม่ได้เห็นในตลาด Plant-based ในบ้านเราเท่าไหร่นัก”ภาณุวัตร กล่าวทิ้งท้าย 


ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ทีทีบี จับมือ databricks ผสานพลัง Data และ AI สร้างอนาคตการเงินที่ดีขึ้นให้คนไทย

ทีทีบี ตอกย้ำความมุ่งมั่นผลักดันดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับวงการธนาคารไทย จับมือพันธมิตร databricks พร้อมเดินหน้าสร้าง Data-driven Culture ปักธงก้าวสู่ธนาคารที...

Responsive image

LINE SCALE UP เปิดรับสตาร์ทอัพทั่วโลก ต่อยอดธุรกิจกับ LINE ก้าวสู่ระดับสากล

LINE SCALE UP เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน LINE Thailand Developer Conference 2024 ที่ผ่านมา เฟ้นหาสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพ และพร้อมต่อยอดธุรกิจร่วมกับ LINE สู่เป้าหมายยกระดับธุรกิจสตา...

Responsive image

MarTech MarTalk 2024 EP.3 จากต้นกล้าสู่ความสำเร็จ ด้วยการพัฒนาคนและ MarTech

ChocoCRM จัดงานใหญ่ส่งท้ายปีกับงาน MarTech MarTalk 2024 EP.3 From Seeds to Success: Driving Business Growth with People and Marketing Technology ได้รับการตอบรับดีอย่างต่อเนื่องเป็น...