ผ่านไปอีกหนึ่งปีทองสำหรับธุรกิจ e-commerce 2019 หลังจากที่ Google & Temasek เผยผลการศึกษาข้อมูลเมื่อปี 2018 ว่ามูลค่าธุรกิจ e-commerce ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) จะแตะ 240 พันล้านดอลล่าห์สหรัฐในปี 2025 จากการคาดคะเนมูลค่าที่เพิ่มขึ้นกว่า 40 พันล้านดอลล่าห์สหรัฐในปีก่อนหน้า (2017) โดยรูปแบบธุรกิจอีคอม e-commerce ที่ได้รับความนิยมที่สุดคือ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซประเภททั่วไป (General) รองลงมาคือสายไอที (Tech) และแฟชั่น (Fashion) ที่ผลัดกันรุกผลักกันรับเรื่อยมาตามงานวิจัยเรื่องสงครามอีคอมเมิร์ซของ iPrice (บริษัทวิจัยตลาดอีคอมเมิร์ซใน SEA)
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจ e-commerce ที่เน้นนำเสนอสินค้าเฉพาะกลุ่มก็กำลังมาแรงตามเทรนด์ e-commerce 2019 ที่ผ่านมา อาทิ เครื่องสำอาง, ของตกแต่งบ้าน, สินค้าสำหรับแม่ และเด็ก เป็นต้น เพื่อตามกระแสวันเด็กปี 2020 ที่ผ่านมา iPrice จึงจับมือกับ Motherhood Thailand ร้านค้าอีคอมเมิร์ซผู้จัดจำหน่ายสินค้าสำหรับแม่และเด็กชั้นนำในประเทศไทย เผยรีวิวการซื้อสินค้าออนไลน์ของคุณแม่ชาวไทยปี 2019 โดยมี 4 ไฮไลท์ที่น่าสนใจ ดังนี้
คุณแม่ชาวไทยช่วงอายุ 25-34 ปี นิยมหาข้อมูลสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ
เนื่องจากเว็บไซต์ Motherhood Thailand ไม่ได้เน้นการจัดจำหน่ายสินค้าคุณภาพสำหรับแม่และเด็กเท่านั้น แต่ยังเน้นการนำเสนอบทความรวบรวมสุดยอดเคล็ดลับการเลี้ยงลูก (Story Motherhood) จากผลการศึกษาข้อมูลพบว่า มีคุณแม่ชาวไทยช่วงอายุ 25-34 ปี กว่า 45.1% ที่นิยมอ่านเคล็ดลับการเลี้ยงลูก หรือวิธีเลือกซื้อสินค้าก่อนสั่งซื้อสินค้าจริง
รองลงมาคือคนแม่ช่วงอายุ 35-44 ปี และคุณแม่วัยใสช่วงอายุ 18-24 ปี ที่ต่างก็นิยมหาเคล็ดลับเลี้ยงบุตรก่อนเลือกซื้อสินค้าเช่นกัน คาดคุณแม่ช่วงอายุ 35-44 ปี ส่วนใหญ่อาจผ่านการเลี้ยงดูบุตรคนแรกมาแล้ว ทำให้มีภาวะการเลี้ยงดูบุตรที่รอบคอบขึ้น ส่วนกลุ่มคุณแม่วัยใสที่อาจไม่มีประสบการณ์เลี้ยงเด็กมาก่อน ทำให้ต้องหาข้อมูลเพื่อเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ
นอกจากนี้ความแตกต่างทางเพศของผู้ซื้อสินค้ายังมีจำนวนใกล้เคียงกัน (หญิง 57.48% และชาย 42.52%) โดยคาดว่าส่วนใหญ่คุณแม่จะเข้ามาหาข้อมูลและเลือกสินค้าก่อนที่จะส่งให้คุณพ่อเป็นผู้ดำเนินการชำระเงิน ซึ่งโดยปกติธุรกิจ e-commerce มักมีโปรส่วนลดสำหรับลูกค้าใหม่ ทำให้คุณพ่อและคุณแม่ต่างก็มีบัญชีสมาชิกเป็นของตนเอง
‘อุปกรณ์การป้อนอาหาร (Feeding)’ คือหมวดหมู่สินค้าที่ได้รับการสั่งซื้อทางออนไลน์มากที่สุด
รองลงมาคือ ‘อุปกรณ์อาบน้ำ’ ที่มักมีราคาถูก จัดโปรโมชั่นทางออนไลน์บ่อย และมีรูปแบบให้เลือกมากกว่าร้านค้าทั่วไปจึงเป็นสินค้าที่คุณแม่ชาวไทยนิยมสั่งซื้อทางออนไลน์เป็นอันดับที่สอง ถัดมาคือสินค้าประเภท ‘รถเข็นเด็ก’ ที่มีขนาดใหญ่ และร้านค้าออนไลน์มักแจ้งฟังก์ชั่นของสินค้าได้ละเอียดกว่า (บางรุ่นมีการรับประกัน) ทำให้สินค้าชนิดนี้มียอดการสั่งซื้อสูงเป็นอันดับที่สาม
ตบท้ายด้วยสินค้าประเภท ‘ผ้าอ้อมเด็ก’ ที่ล้วนจัดจำหน่ายเป็นหีบห่อขนาดใหญ่ โดยทั่วไปจำนวนการซื้อในแต่ละครั้งจะมากกว่า 1 ชิ้น จึงไม่สะดวกต่อการออกไปซื้อด้วยตนเอง ส่งผลให้สินค้าประเภทนี้ได้รับความนิยมในการสั่งซื้อมากเป็นอันดับที่สาม
การชำระเงินแบบ ‘เก็บเงินปลายทาง’ กำลังมาแรง
ไม่ว่าจะเป็นการเก็บเงินปลายทางเคอรี่, ไปรษณีย์ไทย, DHL หรือบริษัทขนส่งเอกชนทั่วไป ต่างก็ต้องมีบริการนี้กันทั้งนั้น ผู้ซื้อจะรู้สึกปลอดภัยเพราะต้องชำระเงินพร้อมรับสินค้า ทำให้รูปแบบการชำระเงินประเภทนี้กำลังมาแรง หากไม่นับการจ่ายด้วยบัตรที่สามารถผ่อนชำระเป็นงวดกับทางธนาคารได้ รูปแบบการชำระเงินและการขนส่งนี้คือรูปแบบที่กำลังได้รับความนิยมมากที่สุดในไทย รองลงมาคือ Online Banking ที่ปัจจุบันเพียงแค่สแกน QR Code หรือระบุข้อมูลส่วนตัวไม่นานก็ชำระเงินเสร็จสมบูรณ์แล้ว แถมยังไม่เสียค่าธรรมเนียมกวนใจเหมือนเมื่อก่อนอีกด้วย
คุณแม่ชาว ‘เชียงใหม่’ เลือกซื้อสินค้าทางออนไลน์มากที่สุดรองจากชาวกทม และปริมณฑล
เป็นที่แน่นอนว่าชาวกรุงเทพฯ และปริมณฑลต่างนิยมซื้อสินค้าออนไลน์เป็นทุนเดิม ไม่ว่าจะด้วยความรวดเร็วในการขนส่งก็ดี หรืออาจเป็นไลฟ์สไตล์ก็ตาม แต่ที่น่าสนใจคือผลการศึกษาข้อมูลพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ของคุณแม่ชาวไทยปี 2019 พบว่า คุณแม่ชาวจังหวัดเชียงใหม่เป็นผู้ซื้อสินค้าทางออนไลน์มากเป็นอันดับที่สาม อาจเพราะตามร้านค้าทั่วไปในจังหวังมีตัวเลือกน้อยจึงไม่ครอบคลุมความต้องการเท่าที่ควร
การศึกษาข้อมูล
iPrice ได้รับการสนับสนุนข้อมูลด้านพฤติกรรมการซื้อสินค้าของคุณพ่อคุณแม่ชาวไทยปี 2019 จากเว็บไซต์ motherhood.co.th และ story.motherhood.co.th
เขียนและวิเคราะห์โดย ขนิษฐา สาสะกุล iPrice
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด