แผนกลยุทธ์ธุรกิจที่เน้นความหลายหลาก ประกอบกับความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน ตลอดจนมาตรการต่างๆ ในสหรัฐและยุโรป ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ยังคงแข็งแกร่งในไตรมาส 2
โดยบริษัทได้รายงานยอดขายประจำไตรมาส 2 ปี 2564 อยู่ที่ 35,883 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อนหน้า โดยไทยยูเนี่ยนทำสถิติมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,343 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.5 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2563 และมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 19 เปอร์เซ็นต์
สำหรับในช่วงไตรมาส 2 ของปี ตลาดหลัก ๆ ได้แก่ ผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาและบางประเทศในทวีปยุโรป เริ่มมีกิจกรรมนอกบ้านมากขึ้น เช่น การพบปะสังสรรค์ การจัดงาน รวมถึงการรับประทานอาหารนอกบ้าน ส่งผลให้ธุรกิจบริการด้านอาหารและค้าปลีกในสหรัฐอเมริกามีการฟื้นตัว ช่วยให้ยอดขายธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นของไทยยูเนี่ยนอยู่ที่ 14,869 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 28.7 เปอร์เซ็นต์จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นช่วงที่สถานการณ์การแพร่ระบาดส่งผลกระทบอย่างหนักต่อธุรกิจร้านอาหารในสหรัฐและยุโรป นอกจากนี้บริษัทยังได้รับประโยชน์จากการที่ธุรกิจเรดล็อบเตอร์ซึ่งเป็นธุรกิจเชนร้านอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำผลงานได้ดีขึ้นมากในไตรมาสที่ผ่านมา
ไทยยูเนี่ยนยังคงให้ความสำคัญต่อเนื่องกับธุรกิจที่มีความสามารถในการทำกำไรสูง ผลประกอบการที่ดีในไตรมาส 2 นั้นส่วนหนึ่งมาจากความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มของอาหารสัตว์เลี้ยง สินค้าเพิ่มมูลค่า รวมถึงธุรกิจบรรจุภัณฑ์และสินค้าอื่นๆ ของบริษัทอีกด้วย โดยเฉพาะในส่วนของอาหารสัตว์เลี้ยง ได้รับอานิสงส์จากการที่ผู้บริโภคใช้เวลาอยู่กับบ้านมากขึ้นและรับเลี้ยงสัตว์เลี้ยงมากขึ้นด้วย ส่งผลให้ยอดขายของธุรกิจส่วนนี้เพิ่มขึ้น 12.5 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นมูลค่า 5,741 ล้านบาท
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ความต้องการอาหารทะเลบรรจุกระป๋องเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 สถานการณ์ในบางประเทศเริ่มคลี่คลายและผู้บริโภคเริ่มกลับมามีกิจกรรมต่างๆ นอกบ้านมากขึ้น ทำให้ยอดขายของธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องลดลง 6.8 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นมูลค่า 15,272 ล้านบาท
สำหรับภาพรวมในครึ่งปีแรก ยอดขายเติบโตขึ้น 4.4 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 67,007 ล้านบาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 51.7 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 4,146 ล้านบาท เป็นผลจากการที่ไทยยูเนี่ยนยังคงได้รับความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคทั่วโลก สำหรับครึ่งปีแรกนี้ บริษัทได้ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลอยู่ที่ 0.45 บาทต่อหุ้น
ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ธุรกิจของไทยยูเนี่ยนมีความหลากหลายในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตลาดที่เรามีอยู่ทั่วโลก ประเภทของผลิตภัณฑ์ และแหล่งที่มาของรายได้บริษัท และนี่คือปัจจัยที่ส่งผลให้ผลการดำเนินธุรกิจของเราในไตรมาสที่ผ่านมาทำผลงานได้ดี เรายังคงเน้นในเรื่องของความสามารถในการทำกำไร วินัยทางการเงินและธุรกิจใหม่ๆ ที่เพิ่มมูลค่า ในขณะที่ความต้องการอาหารทะเลบรรจุกระป๋องเริ่มปรับตัวสู่ระดับปกติ ประกอบกับสถานการณ์ในประเทศที่เป็นตลาดหลักของธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นฟื้นตัว ส่งผลให้ผู้คนออกมาทำกิจกรรมต่างๆ ตามปกติมากขึ้น ผมรู้สึกภูมิใจที่สินค้าของไทยยูเนี่ยนยังคงได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องของคุณภาพและคุณค่าทางโภชนาการ และยินดีที่เราได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนที่ใส่ใจสุขภาพความเป็นอยู่ที่ดี ไม่ว่าจะใช้เวลาอยู่ที่บ้านหรือนอกบ้านก็ตาม”
ในเดือนพฤษภาคม บริษัทได้ทำสัญญาซื้อหุ้นอีก 49 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือของ บริษัท รูเก้น ฟิช (Rügen Fisch AG) รวมถือหุ้น 100 เปอร์เซ็นต์ โดยรูเก้น ฟิช มีสำนักงานใหญ่อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศเยอรมนี ล่าสุดมีผลประกอบการสูงกว่า 140 ล้านยูโร หรือประมาณกว่า 5,600 ล้านบาท และเป็นผู้นำตลาดอาหารทะเลกระป๋องในประเทศเยอรมนี
ในครึ่งแรกของปี 2564 ไทยยูเนี่ยนยังคงดำเนินแผนกลยุทธ์ในการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ที่เน้นในเรื่องของนวัตกรรมรวมถึงสตาร์ทอัพอย่างต่อเนื่อง โดยมีการลงทุนใน บริษัท วิอาควา บริษัททางด้านเทคโนโลยีชีวภาพที่พัฒนาการจัดการโรคในสัตว์น้ำ บริษัท บลูนาลู ที่พัฒนาโปรตีนอาหารทะเลจากเซลล์เพาะเลี้ยง และบริษัท อเลฟ ฟาร์มส์ ที่พัฒนาเนื้อสเต็กจากการเพาะเลี้ยงเซลล์
“เราต้องการนำเสนอทางเลือกต่างๆ ให้กับลูกค้าของเราให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในการดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี และรวมไปถึงการสนับสนุนการดูแลรักษาธรรมชาติและท้องทะเล เราจะเห็นผู้บริโภครุ่นใหม่ๆ ทั่วโลกเริ่มเลือกทานอาหารโปรตีนจากพืชควบคู่ไปกับการรับประทานเนื้อปลาและเนื้อสัตว์อื่นๆ โปรตีนทางเลือกนั้นปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศในปริมาณที่น้อยกว่า และกำลังก้าวขึ้นมาเป็นส่วนสำคัญของอาหารทั่วโลก รวมถึงธุรกิจของไทยยูเนี่ยนด้วย”
นอกจากนี้ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงครึ่งปีแรก ไทยยูเนี่ยนเดินหน้าดูแลชุมชนในพื้นที่ที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่ทั่วโลก ภายใต้โครงการ ไทยยูเนี่ยนแคร์ โดยเฉพาะในประเทศไทยซึ่งกำลังเผชิญการแพร่ระบาดในรอบที่สาม บริษัทได้บริจาคผลิตภัณฑ์อาหารมากกว่า 200,000 ชิ้น และนับตั้งแต่ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้บริจาคผลิตภัณฑ์รวมมากกว่า 400,000 ชิ้น และมากกว่า 3,300,000 ชิ้นทั่วโลก ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาด การดูแลชุมชนยังรวมไปถึงสัตว์เลี้ยงที่ถูกทอดทิ้ง โดยบริษัทได้บริจาคอาหารแมวเบลลอตต้าและอาหารสุนัขมาร์โวจำนวนกว่า 75,000 กระป๋อง ให้กับศูนย์พักพิงสัตว์เลี้ยง องค์กรสัตว์เลี้ยง ตลอดจนอาสาสมัครในประเทศไทยที่ช่วยเหลือสุนัขและแมวข้างถนนที่เจ็บป่วยและได้รับบาดเจ็บ
ไทยยูเนี่ยนได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ โรงพยาบาล และองค์กรบรรเทาสาธารณภัยต่างๆ ในการให้ความช่วยเหลือ รวมถึงการสนับสนุนเครื่องควบคุมการให้ออกซิเจนแบบอัตราการไหลสูงจำนวน 20 เครื่อง และชุดตรวจโควิดแบบเร่งด่วน สำหรับใช้โดยบุคลากรทางการแพทย์จำนวน 10,000 ชุด รวมมูลค่า 7.2 ล้านบาท ให้กับโรงพยาบาลและจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นที่ตั้งของฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท
ในไตรมาสที่ 2 นี้ ไทยยูเนี่ยนได้ตีพิมพ์เผยแพร่รายงานเพื่อความยั่งยืนประจำปี ฉบับที่ 8 โดยมีเนื้อหารายละเอียดการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกทั้งอุตสาหกรรมอาหารทะเลของโลก แม้จะมีความท้าทายในเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมีตัวอย่างผลงานและความสำเร็จในด้านความยั่งยืน ได้แก่ การเป็นผู้ผลิตอาหารรายแรกและเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยรายแรกที่เข้าร่วมโครงการ EP100 ซึ่งถือเป็นโครงการที่ริเริ่มเรื่องการใช้พลังงานอย่างชาญฉลาดขององค์กร Climate Group โดยมุ่งเป้าในการลดการใช้น้ำและลดของเสียฝังกลบ นอกจากนี้ยังมีการทำงานร่วมกับองค์กรที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกันอย่างต่อเนื่อง เช่น องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ภาคประชาสังคม และบริษัทอื่นๆ เพื่อหาหนทางที่ดีที่สุดในการบรรลุเป้าหมายการทำงานด้านความยั่งยืน
การทำงานด้านความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญของปรัชญาการดำเนินธุรกิจที่ไทยยูเนี่ยน บริษัทได้ขยายการทำงานด้านการเงินสีฟ้าหรือ blue finance ที่บริหารจัดการการเงินเพื่อโครงการและการทำงานในการอนุรักษ์มหาสมุทร ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์กับทั้งบริษัทและอุตสาหกรรมในภาพรวม โดยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บริษัทได้ออกสินเชื่อส่งเสริมความยั่งยืนเป็นครั้งแรกจำนวน 12,000 ล้านบาท และในเดือนกรกฎาคมนี้ ได้ออกหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืนเป็นครั้งแรกในประเทศไทย มูลค่า 5,000 ล้านบาท สำหรับนักลงทุนสถาบัน
“บริษัทมองไปยังครึ่งหลังของปี 2564 ด้วยความเชื่อว่าบริษัทมีความสามารถที่สร้างความเติบโตอย่างเข้มแข็ง แต่อย่างไรก็ดี เรายังคงจับตาดูปัจจัยต่างๆ อย่างใกล้ชิด เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดนั้นยังมีความไม่แน่นอนรวมถึงความท้าทายต่างๆ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป กล่าวทิ้งท้าย
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด