เมื่อวันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา วีซ่า (VISA) บริษัทผู้ให้บริการด้านเครือข่ายการชำระเงินระดับโลก เปิดบ้านให้สื่อเข้าร่วมงาน เผยให้เห็นว่าความต้องการสำหรับโซลูชั่นนวัตกรรมการชำระเงินยังคงเพิ่มสูงขึ้นในประเทศไทย สืบเนื่องจากมูลค่าการทำธุรกรรมจากผู้ถือบัตรชาวไทยที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
มูลค่าการชำระเงินทั้งหมดจากบัตรวีซ่าได้เพิ่มขึ้นถึง 9.3 เปอร์เซ็นต์ในปีงบประมาณที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเติบโตของบัตรเดบิตวีซ่าที่ 18 เปอร์เซ็นต์และบัตรเครดิตวีซ่าที่ 8.6เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่มูลค่าธุรกรรมบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่เกิดขึ้นจากบัตรวีซ่าสูงขึ้นถึง 24 เปอร์เซ็นต์
นายสุริพงษ์ ตันติยานนท์ ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “ในขณะที่การเติบโตดังกล่าวไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับอุตสาหกรรมการชำระเงิน แต่เรากำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนด้านนวัตกรรม โลกการค้าดิจิตอลในรูปแบบใหม่และการเชื่อมต่อกันอย่างมากที่สุด (hyper-connected) กำลังเกิดขึ้น ซึ่งเมื่อลูกค้าสถาบันการเงินของเราออกบัตรวีซ่า พวกเขาได้ออกสินค้าที่เป็นมากกว่าบัตรหนึ่งใบ โดยถือเป็นการเปิด ‘บัญชีวีซ่า’ ที่ทำให้ลูกค้าสามารถใช้บัตรวีซ่าได้ทุกที่ทุกเวลาด้วยอุปกรณ์ต่างๆที่ได้รับการเชื่อมต่อ”
เพื่อสนับสนุนนวัตกรรมการชำระเงินในประเทศไทย วีซ่าได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม Visa Developer ที่เปลี่ยน VisaNet ซึ่งเป็นเครือข่ายการชำระเงินค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดของโลก เป็นแพลตฟอร์มเปิด (open platform) สำหรับการชำระเงินและการค้า
โดยนักพัฒนาซอฟต์แวร์ จากสถาบันทางการเงิน บริษัทด้านเทคโนโลยี ร้านค้า และสตาร์อัพต่างๆ จะสามารถเข้าถึงระบบการชำระเงินยอดนิยมของวีซ่าผ่าน APIs, SDKsและการจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้องได้ด้วยตนเอง
ตัวอย่างของโซลูชั่นที่ได้รับการพัฒนาและเปิดตัวในประเทศไทยคือแอพพลิเคชั่นมือถือที่ได้รับการยอมรับใน ระดับโลกซึ่งใช้ Visa Direct API เพื่อให้บริการด้านการชำระเงินแบบเรียลไทม์ โดยผลิตภัณฑ์นี้จะทำเกิดการให้การโอนคะแนนสะสมหรือเงินแก่ผู้ใช้บัตรโดยตรง
บริการ Visa Tokens Service (VTS) เป็นอีก API หนึ่งที่ช่วยให้สถาบันทางการเงินสามารถออกรหัสโทเค็น ซึ่งเป็นบัญชีดิจิตอลที่เพิ่มระบบความปลอดภัยและทำให้การซื้อสินค้าของผู้บริโภคง่ายดายยิ่งขึ้นเมื่อทำการซื้อสินค้าผ่านโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ส่วนตัว หรืออุปกรณ์มือถืออื่นๆ
นอกจากนี้ วีซ่ากำลังขยายจุดรับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ทั่วประเทศไทย โดยปัจจุบันมีจำนวนของร้านค้าที่รับบัตรวีซ่าได้เพิ่มขึ้นเกือบครึ่งล้านในปี 2559 โดยเฉพาะนอกกรุงเทพมหานคร และยังมีจำนวนของเครื่องรูดบัตรพกพาสำหรับมือถือและแท็บเล็ต (mPOS) ที่มีการใช้งานอยู่เกือบถึงห้าหมื่นเครื่องซึ่งเป็นที่นิยมในธุรกิจประกันชีวิต
“เทคโนโลยีมีศักยภาพอันมหาศาลที่จะยกระดับประสบการณ์การชำระเงินของผู้บริโภคทั้งหมด ปัจจุบันธุรกิจจำนวนมากยังคงพึ่งพาระบบแบบเดิมๆ ในขณะที่ความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ผู้บริโภคต้องการทุกสิ่งทุกอย่างทันทีในเวลาอันสั้น ประสบการณ์ของพวกเขา (customer experience) มีความสำคัญอย่างยิ่ง วีซ่ามีความมุ่งมั่นที่จะขยายการเข้าถึงการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์และเพิ่มมูลค่าและประสิทธิภาพในช่วงเวลาของ การเปลี่ยนแปลงนี้” นายสุริพงษ์ กล่าวปิดท้าย
วีซ่าคือบริษัทผู้ให้บริการด้านเครือข่ายการชำระเงินระดับโลก แก่ลูกค้าบุคคล ธุรกิจ และสถาบันการเงิน ตลอดจนองค์กรรัฐ ในกว่า 200 ประเทศทั่วโลกด้วยเทคโนโลยีด้านเงินตราดิจิตอลที่รวดเร็ว ปลอดภัย และวางใจได้ โดยมี VisaNet หนึ่งในระบบเครือข่ายการทำงานด้านเงินตราดิจิตอลที่ทันสมัยมากที่สุดระบบหนึ่งของโลกเป็นรากฐาน ซึ่งสามารถประมวลและควบคุมการทำธุรกรรมได้กว่า 65,000 รายการในหนึ่งวินาที พร้อมด้วยระบบป้องกันการปลอมแปลงสำหรับลูกค้าบุคคล และการรับประกันการชำระเงินสำหรับร้านค้า วีซ่าไม่ใช่ธนาคารและมิได้มีบริการการออกบัตร เพิ่มวงเงินเครดิต หรือกำหนดอัตราค่าบริการแก่ผู้ถือบัตร หากแต่ให้บริการนวัตกรรมซึ่งส่งเสริมให้สถาบันการเงินสามารถมอบทางเลือกที่มีความหลากหลายให้แก่ลูกค้าได้ เช่น บริการชำระเงินจากยอดเงินในบัตรเดบิตหรือการใช้จ่ายด้วยวงเงินล่วงหน้าผ่านผลิตภัณฑ์บัตรเครดิตต่าง ๆ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวีซ่า อ่านได้ที่: www.visa.co.th www.visaapnewsroom.com และ @VisaNews บนทวิตเตอร์
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด