เถียงใครก็ไม่มีวันแพ้ แค่หัดเป็น ‘ผู้ฟังที่ดี’ เพราะรู้เขา รู้เรา รบกี่ครั้งก็ชนะ

รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้ง คนที่เถียงใครก็ชนะเสมอ นอกจากจะเป็นผู้พูดที่ดีแล้ว ทักษะหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลย และจะทำให้เราเป็นผู้ชนะทุกข้อโต้แย้งและการโต้เถียงนั่นคือ “การเป็นผู้ฟังที่ดี”  

ในสถานการณ์ที่มีข้อขัดแย้งและต้องการบทสรุปหรือทางออก ผู้ที่มีทักษะการฟังที่ดีจะกุมความได้เปรียบ  แต่น้อยคนที่จะเก่งเรื่องนี้ เพราะมักเสียสมาธิไปกับการคิดที่จะตอบโต้อยู่ตลอดเวลา ทักษะการฟังที่จะดีช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและทำให้ดูความมั่นใจมากขึ้น 

หนังสือ “Win Every Argument: The Art of Debating, Persuading, and Public Speaking,” ได้เสนอรูปแบบการฟังสองแบบและทริคที่น่าจำเอาไปใช้ไว้ดังนี้

การฟังอย่างมีวิจารณญาณ (Critical listening)

การฟังอย่างมีวิจารณญาณ เป็นการฟังที่ต้องวิเคราะห์ ทำความเข้าใจ พิจารณาถึงความถูกต้อง ความสมเหตุสมผลว่าน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน ด้วยสามขั้นตอน

  • เปิดใจให้กว้าง

อย่าคิดว่าสิ่งที่คู่สนทนาของคุณนั้นคิดผิดไปซะทุกอย่าง ถึงแม้ว่าเราจะเชื่อมั่นในข้อโต้แย้งของตัวเอง แต่ควรฟังประเด็นที่ถูกต้อง เพื่อทำความเข้าใจกับการสนทนาอย่างถี่ถ้วน ดูว่าตรงไหนที่จะเป็นจุดแข็งหรือจุดอ่อนของเราและคู่สนทนา เพื่อเสริมสร้างข้อโต้แย้งของคุณให้หนักแน่นขึ้นได้

  • ตั้งสมาธิ ทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง

หยุดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเช่นการนั่งเหม่อหรืองีบหลับขณะมีผู้พูดอยู่ ควรมีสมาธิและหลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือ ตั้งใจฟังคู่สนทนาให้ดี ใส่ใจกับรายละเอียด เพื่อที่จะตอบโต้อย่างชาญฉลาดและตรงประเด็นได้ 

  • จดบันทึก

ถ้าจำไม่หมด ใช้การจดมาช่วย การจดบันทึกช่วยเพิ่มความสามารถในการฟังอย่างมีวิจารณญาณ ช่วยเก็บข้อมูลและประมวลผลนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

การฟังอย่างเข้าใจและใส่ใจ (Empathetic listening)

คือการฟังแบบเอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือการมองโลกด้วยมุมมองของอีกฝ่ายเพื่อทำความเข้าใจและเชื่อมโยงความรู้สึกในมุมมองของอีกฝ่าย จะช่วยให้เราเข้าใจเหตุผล ที่มาของความเห็นที่แตกต่างกัน ถึงแม้จะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ แต่กลับเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจอีกฝ่ายในเลนส์ของเขา 

การฟังอย่างเข้าใจและใส่ใจ มีเคล็ดลับดังต่อไปนี้:

  • ไม่วอกแวกระหว่างการสนทนา

โฟกัสความสนใจไปที่ผู้พูดอย่างเต็มที่ หลีกเลี่ยงการพูดคนเดียวหรือทำกิจกรรมอย่างอื่น แสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่ากำลังสนใจเขาอยู่อย่างชัดเจน

  • สบตาผู้พูดเสมอ

การสบตาสื่อถึงความเห็นอกเห็นใจและสร้างความไว้วางใจ เพื่อความรู้สึกทางอารมณ์ระหว่างสองฝ่าย มีส่วนช่วยทำให้คำพูดของเรามีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

จากการศึกษาเกี่ยวกับการพูดในที่สาธารณะพบว่า ผู้ฟังเลือกที่จะเชื่อผู้ที่สบตาตนเองมากกว่าคนที่หลบตาหรือหันไปมองทางอื่น ชี้ให้เห็นว่าการสบตามีส่วนช่วยในการโน้มนาวใจอีกฝ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • ถามคำถามที่เหมาะสม

ไม่ควรถามคำถามที่ตอบแค่ “ใช่” หรือ “ไม่” แต่ควรถามคำถามปลายเปิดเพื่อให้ผู้พูดอธิบายรายละเอียดและช่วยให้การสนทนาไหลลื่น และตามด้วย follow-up question ซึ่งเป็นคำถามที่แสดงให้เห็นว่าเราใส่ใจและตั้งใจผู้พูดอย่างแท้จริง

ด้วยการพัฒนาทักษะการฟังอย่างมีวิจารณญาณและการฟังอย่างเข้าใจและใส่ใจ เพิ่มความสามารถในการโต้แย้งและโน้มน้าวใจได้ จะช่วยให้เป็นนักสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นไม่ว่าในสถานการณ์ใดก็ตาม

อ้างอิง: cnbc

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ทางรอดใหม่ในตลาดงาน 2025 ทำไม Apprenticeships หรือการฝึกทักษะวิชาชีพ ถึงกำลังมาแรงแซงใบปริญญา

ตลาดแรงงานกำลังเปลี่ยน ใบปริญญาไม่ใช่คำตอบเดียว คนรุ่นใหม่จำนวนมากทิ้งงานออฟฟิศ หันเรียนทักษะอาชีพเพื่อความมั่นคงระยะยาว...

Responsive image

ตอบคำถามสัมภาษณ์งานปราบเซียน ช่วยแนะนำตัวหน่อย อย่างไรให้ชนะใจ HR ด้วยสูตร 3 ขั้นตอน

เจาะลึกสูตร Present-Past-Future จากโค้ชอาชีพชื่อดัง เผยวิธีตอบคำถาม “ช่วยแนะนำตัวให้ฟังหน่อย” ในการสัมภาษณ์งาน ให้ดูโปร มีทิศทาง และสร้างความประทับใจตั้งแต่นาทีแรก...

Responsive image

รู้จัก Performance Punishment เมื่อรางวัลของคนขยันคือ 'งานที่เพิ่มขึ้น' ทำไมสิ่งนี้ถึงกำลังทำลายทีม

ในหลายองค์กรมีวัฒนธรรมการทำงานแบบ Performance Punishment หรือการลงโทษคนทำงานดีโดยไม่รู้ตัว นั่นคือการที่หัวหน้ามักจะมอบหมายงานและความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นให้กับคนเก่ง ซึ่งแทนที่จะเป็น...