จากประสบการณ์ที่ผมได้อยู่ในวงการ FinTech ศึกษา FinTech ในต่างประเทศ และติดตามวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวของธนาคารในประเทศไทยอย่างใกล้ชิด ผมคิดว่า 10 สิ่งนี้น่าจะได้เห็นในบ้านเราในปีนี้
ธนาคารที่ประกาศแล้วว่าปีนี้จะทำการปล่อยสินเชื่อออนไลน์ คือ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ กรุงศรี ซีไอเอ็มบี กรุงไทย ผมคิดว่าทุกที่น่าจะทำหมด เป็นที่รู้กันว่า คนไทยเป็นจำนวนมากๆๆๆอยากกู้ และจำนวนมากสิ้นหวังมีที่ไหนก็สมัครหมดและถูกปฏิเสธหมด
การให้สมัครสินเชื่อออนไลน์นั้นจะยิ่งทำให้การกู้เงินง่ายขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นรับรองว่าดีมานด์จำนวนคนสมัครนั้นมหาศาลแน่นอนเมื่อมีธนาคารไหนเปิดตัวให้สมัครได้
ที่ผมคิดว่าน่าจะปังที่สุดคือโปรเจคที่กสิกรไทยทำร่วมกับ Line ให้คนสามารถสมัครสินเชื่อบนแอป Line ได้ ซึ่งผมว่าน่าจะเป็นการขอสินเชื่อที่สะดวกที่สุดแล้ว การเปิดตัวแล้วมีผู้สมัครเกิน 10 ล้านคนเป็นเรื่องที่เป็นไปได้
จุดที่แข่งกันคือที่ไหนจะอนุมัติได้เก่งกว่ากัน ที่ผ่านมาธนาคารแทบไม่ปล่อยสินเชื่อให้กับคนเงินเดือนน้อยกว่า 30,000 บาทเลย คนพวกนี้จึงไปอยู่กับนอนแบงก์หมด และคนพวกนี้แหละที่จะเป็นคนส่วนใหญ่ที่สมัครสินเชื่อออนไลน์
ผมเชื่อว่าหลายธนาคารน่าจะกำลังพัฒนาโมเดลการวิเคราะห์สินเชื่อแบบใหม่ที่กล้าอนุมัติสินเชื่อให้กับกลุ่มที่ปกติจะถูกปฏิเสธ
ปัจจัยแห่งความสำเร็จอีกอันหนึ่งคือใครจะทำ product และ marketing ของ digital lending ให้ตรงกับกลุ่มคนที่เงินเดือนมากกว่า 30,000 บาทซึ่งมีบัตรเครดิตอยู่แล้วและธนาคารชอบ ได้ดีกว่ากัน
ตลาดสินเชื่อบุคคลของไทยมีมูลค่ากว่า 500,000 ล้านบาท และเจ้าตลาดคือ Aeon ซึ่งคิดดอกเบี้ยสินเชื่อบุคคลอยู่ที่มากสุด 28% ต่อปี กลุ่มลูกค้าหลักของ Aeon คือคนเงินเดือนน้อยกว่า 30,000 บาทที่ธนาคารปฏิเสธเพราะเสี่ยงเกินไป
ผมเชื่อว่าธนาคารจะต้องลงมาเล่นตลาดนี้ หลายธนาคารสร้างทีม Data Scientist และหาวิธีใช้ดาต้าที่ธนาคารมีให้เกิดประโยชน์
และพอเป็นการปล่อยกู้ออนไลน์แล้ว ต้นทุนในการจัดการใบสมัครสำหรับธนาคารจะต่ำลงมาก ปัจจุบันธนาคารต้องจ่ายเงินให้แมสไปเก็บและเซ็นเอกสารจากลูกค้าและมีต้นทุนคนที่ใช้ในการวิเคราะห์สินเชื่อ เมื่อทุกอย่างเป็นดิจิตอล ต้นทุนส่วนนี้จะหายไป ทำให้ธนาคารกล้าปล่อยกู้มากขึ้น
ไม่ใช่แค่ธนาคารเท่านั้นที่เห็นโอกาส ถ้า FinTech สามารถทำกระบวนการยืนยันตัวตนตนออนไลน์ได้ในต้นทุนที่ไม่แพง (FinTech ต้องจ่ายเงินให้กับระบบ National ID เพื่อใช้ยืนยันตัวตนลูกค้าออนไลน์ ระบบ National ID นั้นพัฒนาโดยธนาคาร ซึ่งค่าธรรมเนียมการใช้งานนั้นยังไม่ได้ถูกกำหนดมา ค่าธรรมเนียมสำหรับบริษัทที่ไม่ใช่ธนาคารน่าจะสูงกว่าค่าธรรมเนียมที่ธนาคารต้องจ่าย เพราะธนาคารได้ลงทุนลงแรงในการพัฒนาระบบ และส่วนใหญ่เวลายืนยันตัวตน ก็จะใช้แอปธนาคารเป็นตัวยืนยัน) ถ้าค่าธรรมเนียมถูกกำหนดมาสูงมาก ฟินเทคก็อาจแข่งขันกับธนาคารได้ยาก
มองไปที่ประเทศอินโดนีเซียซึ่งสถานการณ์ FinTech ที่นั่นน่าจะใกล้เคียงกับไทยสุด นำหน้าไทยอยู่สักสองสามปี ปีที่แล้ว FinTech Startup ที่มาแรงและระดมทุนได้มากสุดคือ Kredivo และ Akulaku ซึ่งทั้งสอง Startup นั้นทำด้านการปล่อยกู้ ณ จุดขาย ช่วยให้คนซื้อของสามารถซื้อก่อน จ่ายทีหลังได้โดยไม่ต้องมีบัตรเครดิต โมเดลของ Kredivo นั้นคือเป็นช่องทางการจ่ายเงินช่องทางนึงสำหรับการซื้อของออนไลน์บนเว็บและแอปต่างๆ ส่วน Akulaku นั้นเป็นเว็บขายของที่ทุกอย่างบนเว็บนั้นผ่อนได้
ในประเทศไทยยังไม่มีใครทำจริงจัง แต่ผมว่าปีนี้เราน่าจะเห็นทั้ง Startup และธนาคารมาทำด้านนี้กัน และผลตอบรับก็น่าจะดีมาก
จุดยากสุดของการปล่อยกู้คือความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ ที่ผ่านมาธนาคารจะปล่อยกู้ให้พนักงานประจำที่มีเงินเดือนเข้าบัญชีชัดเจนเท่านั้นเพื่อลดความเสี่ยง อาชีพอื่นจะสมัครยากมาก
ถ้าธนาคารอยากขยายการปล่อยกู้ให้กับกลุ่มที่เมื่อก่อนธนาคารไม่กล้าปล่อย การปล่อยกู้โดยตัดบัญชีเงินเดือนที่จ่ายผ่านธนาคารนั้นเป็นโมเดลที่น่าสนใจมาก ความเสี่ยงต่ำมาก ขอแค่เช็คให้ดีว่าผู้สมัครยังทำงานอยู่ที่นั่นจริงและไม่ปล่อยกู้เกินกว่าเงินเดือน และทำได้เร็ว ไม่ต้องพัฒนาโมเดลการปล่อยกู้ใหม่
อันนี้เป็นจุดแข็งที่เฉพาะธนาคารเท่านั้นที่ทำได้ ธนาคารทำได้ค่อนข้างเร็วเพราะจ่ายเงินเดือนอยู่แล้ว ฟินเทคทำได้ลำบากมาก
ความท้าทายคือการจูงใจให้นายจ้างยอมทำด้วย เพราะนายจ้างจำนวนมากไม่อยากให้พนักงานเป็นหนี้เพิ่มและไม่อยากยุ่งเรื่องเงินเดือน
Peer-to-peer Lending หรือ ระบบกู้ยืมเงินแบบบุคคลต่อบุคคล เป็นรูปแบบฟินเทคที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากทั่วโลก โดยเฉพาะที่อเมริกาและจีน เพราะฟินเทคเห็นโอกาสจากส่วนต่างดอกเบี้ยเงินฝากกับดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงมาก ซึ่งคือกำไรของธนาคารนั่นเอง
มี FinTech หลายรายที่ได้พยายามคุยกับธนาคารแห่งประเทศไทยถึงการทำ P2P Lending แต่ก็ยังไม่มีที่ไหนได้รับอนุญาต
ผ่านมา 5 ปี ปีนี้น่าจะเป็นปีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยให้ทำเรื่องนี้ได้จริง แบงก์ชาติได้ออกหลักเกณฑ์การกำกับดูแล Peer To Peer Lending Platform เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว และเพิ่งได้ทำการรับฟังเห็นของผู้ประกอบการไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา
สัญญาณที่ชัดเจนที่สุดคือการที่ CEO ของ SCB Abacus ได้ออกมาพูดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง น่าจะหมายความว่า SCB Abacus กำลังศึกษาเรื่องนี้อยู่และน่าจะมั่นใจในตารางเวลาที่แบงก์ชาติจะให้ทำ
เพราะธนาคารคือองค์กรที่มีการพูดคุยกับแบงก์ชาติใกล้ชิดมาก และจากในหน้าสมาชิกของสมาคมฟินเทคแห่งประเทศไทย มีสตาร์ทอัพที่เป็นสมาชิกและลงทะเบียนไว้ว่าทำเรื่อง P2P Lending เกือบ 10 ราย ไม่นับรวมบริษัทลีสซิ่งและนอนแบงก์ที่น่าจะซุ่มพัฒนาระบบ P2P Lending เช่นกัน และสตาร์ทอัพ P2P Lending จากจีน สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ที่มีแพลตฟอร์มและโมเดลการอนุมัติอยู่แล้ว
ทั้งหมดนี้ทำให้ค่อนข้างมั่นใจว่าปีนี้ประเทศไทยจะมี P2P Lending กับเขาเสียที และน่าจะมีบริษัทที่ยื่นขอไลเซส์มากกว่า 50 เจ้า
ด้วยหลักเกณฑ์ที่แบงก์ชาติกำหนดว่าให้ P2P Lending คิดดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 15% ต่อปี ทำให้ P2P Lending เป็นประโยชน์กับผู้กู้เป็นอย่างมาก เพราะดอกเบี้ยบัตรเครดิตสูงสุดอยู่ที่ 18% ดอกเบี้ยสินเชื่อบุคคลสูงสุด 28% ช่วยให้คนกู้จ่ายดอกเบี้ยถูกลงพอสมควร
เพดานดอกเบี้ย 15% ยังทำให้กลุ่มลูกค้าของ P2P Lending แคบลงมาก น่าจะทำให้ต้องปล่อยกู้เฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ หมายความว่า P2P Lending น่าจะมุ่งเจาะกลุ่มเงินเดือน 30,000 ขึ้นซึ่งเป็นกลุ่มที่เป็นลูกค้าสินเชื่อของธนาคารอยู่ แข่งด้วยดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า ไม่น่าจะลงไปเล่นกับลูกค้าของนอนแบงก์
สองปีที่แล้ว เราเห็นเกือบทุกธนาคารลงมาโปรโมท แข่งกันเป็น QR สำหรับร้านค้า และให้โปรโมชั่นเพื่อดึงดูดคนให้หันมาจ่ายด้วย QR เพราะอยากได้ดาต้าการซื้อของของผู้ใช้แอปธนาคาร และหวังว่ามันจะใหญ่เหมือนที่จีน
ปีนี้เราไม่เห็นธนาคารโปรโมท QR ในชีวิตประจำวันเราก็ไม่ค่อยเห็นใครจ่ายเงินด้วย QR ช่วงโปรโมชั่นเมื่อสองปีก่อน คนก็ทดลองใช้เพราะได้ส่วนลด แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมคนได้ เมื่อหมดโปรโมชั่น คนบางส่วนก็ยังใช้อยู่ในบางกรณี และน่าจะโตขึ้นเรื่อยๆ แต่คนส่วนใหญ่ก็กลับไปใช้เงินสดเหมือนเดิม ไม่น่าจะโตก้าวกระโดดกลายเป็นออปชั่นแรกในการจ่ายเงินอย่างที่เกิดในจีนที่หวังไว้ตอนแรก ยอดใช้น่าจะไปได้สุดประมาณบัตรเดบิต
เพราะะสำหรับผู้ใช้แล้วการหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วเปิดแอปและสแกนนั้นไม่ได้สะดวกกว่าการหยิบเงินสดแล้วรอตังทอนแต่อย่างใด
เมื่อเดือนที่แล้ว บริษัท Central JD FinTech แถลงข่าว Dolfin Wallet ซึ่งจะเป็นอีวอลเลตตัวล่าสุดที่จะออกมาแข่งกับบรรดาแอปอีวอลเลตในตลาด
พอไปดู ewallet ของ JD ที่จีนแล้ว ผมคิดว่าน่าสนใจมาก เพราะทำได้ทุกอย่างทั้งออมเงินได้ดอกเบี้ย ลงทุน และกู้เงิน เช่นเดียวกับ Alipay และ WeChat Pay ที่ประสบความสำเร็จมากที่จีน จนหลายบริษัทในไทยคาดหวังว่าจะทำได้อย่างนั้นบ้าง
อย่างไรก็ตาม ewallet ที่เปิดตัวในช่วงนี้นั้นยากมากที่จะทำให้ คนเปลี่ยนพฤติกรรมโอนเงินเข้าอีวอลเลตและใช้ ewallet จ่ายเงิน เพราะแอปธนาคารพัฒนามาจนทำได้เกือบทุกอย่าง ทั้งจ่าย QR จ่ายบิลต่างๆ และโอนเงินหากันได้ฟรี และคนส่วนใหญ่ก็มีแอปธนาคารอยู่แล้วในเครื่องอยู่แล้ว
ที่สำคัญคือกฎหมายไม่อนุญาตให้อีวอลเลตในไทยให้ดอกเบี้ยลูกค้าเหมือนฝากเงินธนาคารได้ เหมือนที่ ewallet ในจีนทำได้ ทำให้เป็นเรื่องยากมากที่อีวอลเลตในไทยจะโตเหมือนในจีน
True Wallet ประสบความสำเร็จเป็นอีวอลเลตที่ใหญ่ที่สุด เพราะเขามี Ecosystem ที่ตอบโจทย์ในตัวเอง ทั้งเครือข่ายทรูและเซเว่นอีเลเว่น มีร้านค้าที่ผู้ใช้เข้าทุกวัน และยังทำมาก่อนยุคที่แอปธนาคารปรับตัวทัน True Wallet ทำได้ดีมากในการเจาะกลุ่มตลาดเด็กเล่นเกมเป็นเจ้าแรก และครองตลาดมายาวนาน
ปีนี้ ewallet เจ้าใหญ่ เช่น Blue Pay, Dolfin Wallet, Rabbit Line Pay น่าจะออกโปรโมชั่นมาพยายามให้คนดาวโหลดและจ่ายผ่านอีวอลเลต โดยเฉพาะกับร้านค้าที่เป็นเครือเดียวกัน พวกเขาน่าจะได้ผู้ใช้ไปเยอะอยู่
แต่ถ้าไม่มีโปรโมชั่นส่วนลด คนส่วนใหญ่ก็น่าจะไม่ใช้ กลับไปจ่ายด้วยเงินสดหรือแอปธนาคาร อาจจะยกเว้น Rabbit Line Pay ที่เมื่อผูกบัตรบีทีเอสเข้ากับ Rabbit Line Pay แล้วสะดวกมาก ไม่ต้องต่อแถวเติมเงินอีกต่อไป
อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่อาจจะเห็นในปีนี้คือ ewallet ปล่อยกู้ บริษัท Central JD Fintech แถลงชัดเจนว่าพวกเขาจะทำธุรกิจสินเชื่อบุคคลด้วย โดยใช้อีวอลเลตเป็นตัวนำในการให้ได้ดาต้าลูกค้า เพื่อประกอบการพิจารณาปล่อยกู้ต่อไป ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นโมเดลธุรกิจที่แข่งขันและหารายได้ได้ดีกว่าการเป็นแค่ ewallet และpayment
FinTech Startup ที่ประสบความสำเร็จมากที่อเมริกาหลายแห่งมีผู้ก่อตั้งที่มีประสบการณ์ในแวดวงการเงินการธนาคารมาก่อน เช่น Lending Club, Prosper ซึ่งช่วยได้มากเพราะฟินเทคส่วนใหญ่ต้องเจอความท้าทายด้านกฎหมายและการกำกับดูแลและการต้องคุยกับธนาคารและสถาบันการเงิน ส่วนในประเทศไทยก็มีเช่น Finnomena แต่นับว่าน้อยมาก
ผมคิดว่าในปีนี้เราน่าจะได้เห็นผู้บริหารธนาคารลงมาเป็นผู้ก่อตั้งหรือผู้บริหารสตาร์ทอัพ ยิ่งปีนี้จะเป็นปีที่ Digital Lending เกิด ซึ่งมาพร้อมกับโอกาสมหาศาล
โมเดลน่าจะมีทั้ง ออกมาเป็นผู้ก่อตั้งเองสร้างทีมเองระดมทุนเอง หรือตั้งสตาร์ทอัพมาพาร์ตเนอร์กับธนาคารใช้ไลเซนส์ธนาคารและเงินทุนจากธนาคารในการทำธุรกิจ หรือเป็น Country Manager หรือผู้ร่วมก่อตั้งของฟินเทคต่างประเทศที่ขยายเข้ามาในไทย
การมีคนเก่งที่มีประสบการณ์ตรงมาทำ FinTech น่าจะช่วยสร้าง Startup FinTech ไทยที่น่าสนใจได้ไม่น้อย
ปีที่แล้วมีเหตุการณ์ 3 อย่างที่ผมคิดว่าน่าจะทำให้ปีนี้เป็นปีที่มีการแข่งขันในตลาดแลกเงินและโอนเงินระหว่างประเทศ หนึ่งคือธนาคารกสิกรไทยลงทุนในสตาร์ทอัพโอนเงินระหว่างประเทศ Instarem สองคือธนาคารกรุงไทยและธนาคารทีเอ็มบีออกบัตร Travel Card ให้ผู้ใช้แลกเงินได้บนแอปด้วยอัตราแลกเปลี่ยนที่การันตีว่าถูกมาก และสามคือ TransferWise สตาร์ทอัพด้านการโอนเงินระหว่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลกมาตั้งออฟฟิศที่ประเทศสิงคโปร์
ปีที่แล้วเราเห็นธนาคารยกเลิกค่าธรรมเนียมในการโอนเงิน ผมคิดว่าปีนี้เราน่าจะได้เห็นธนาคารหรือฟินเทคจากต่างประเทศแข่งกันออกบริการโอนเงินไปต่างประเทศในบางประเทศด้วยอัตราแลกเปลี่ยนและค่าธรรมเนียมที่โฆษณาว่าถูกที่สุด และเราน่าจะได้เห็นธนาคารอื่นๆ ออกโปรดักต์แลกเงินบนแอป คล้ายๆกับที่กรุงไทยและทีเอ็มบีทำ เพราะผลตอบรับดีมาก
ปีที่แล้วประเทศไทยมีการออก ICO โดยบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เป็นครั้งแรก โดยเหรียญ J-Fin Coin นั้นประสบความสำเร็จระดมทุนได้ตามเป้า อย่างไรก็ตามด้วยเทรนด์ของโลกที่ ICO เจอปัญหามากมาย เพราะความง่ายมากในการระดมทุน จากการเก็บสถิติของ Bonnie Crofford (Global Digital Marketing Strategist) 92% ของโปรเจค ICO ทั่วโลกล้มเหลว
สิ่งที่มาแทน ICO คือ Security Token Offering (STO) STO คือการสร้างเหรียญคริปโตจากหลักทรัพย์ของบริษัท ซึ่งคือหุ้น ทำให้ผู้ถือเหรียญได้รับสิทธิประโยชน์เหมือนซื้อหุ้นบริษัท และยังสามารถซื้อขายได้ง่ายเหมือนเหรียญคริปโต
ทางกลต. เพิ่งออกใบอนุญาตให้กับบริษัทที่ทำด้านตลาดซื้อขายเหรียญคริปโต และด้วยท่าทีของกลต.ที่ดูเปิดกว้างสำหรับเทคโนโลยีและพร้อมจะปรับเปลี่ยนกฎหมายให้ทันกับยุคสมัยเพื่อตอบโจทย์บริษัทและฟินเทค และคุ้มครองนักลงทุน ผมคิดว่าทางกลต.น่าจะออกกฎระเบียบสำหรับ STO และใบอนุญาต ICO Portal สำหรับบริษัทที่จะเป็นคนช่วยดูแลบริษัทลูกค้าที่สนใจออก STO ภายในสิ้นปีนี้
เมื่อกฎหมายพร้อม บริษัทในตลาดหุ้นไทยหลายบริษัทน่าจะสนใจ เพราะตอนที่ J-Fin Coin ระดมทุนสำเร็จ ก็มีบริษัทหลายบริษัทที่ออกข่าวว่าสนใจทำ ICO เช่นเดียวกัน แต่ก็ต้องยกเลิกแผนไป เพราะสถานการณ์ที่เปลี่ยน
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด