ปรับ mindset ให้มองอนาคตแบบ Futurist | Techsauce

ปรับ mindset ให้มองอนาคตแบบ Futurist

ผมมีความเชื่อที่ว่ามนุษย์ต่อให้เก่งขนาดไหนก็ไม่สามารถคาดเดาอนาคตแบบไกลๆได้อย่างแม่นยำ ดังนั้นถึงผมจะมีหนังสือเกี่ยวกับการคาดการณ์อนาคตไกลโพ้นอยู่ 4-5 เล่ม แต่ส่วนใหญ่ก็แทบไม่ได้แตะ แม้แต่หนังสือ “คลื่นลูกที่สาม” ของ Alvin Toffler ที่ว่าน่าตื่นตาตื่นใจ แต่ผมก็สามารถอ่านไปง่วงไปได้ จนสุดท้ายต้องส่งมันกลับไปบนชั้นหนังสือ

แต่วันหนึ่งผมก็เกิดความหงุดหงิดอยากรู้ว่า AI มันมีความสามารถถึงระดับไหนกันแน่ ผมก็เลยหาซื้อหนังสือที่พูดเกี่ยวกับ AI ก็เลยได้ Rise of Robot มาอ่าน หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Martin Ford ซึ่งเป็น Futurist และนักเขียนที่เน้นเรื่องผลกระทบของปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์ต่อสังคมและระบบเศรษฐกิจ 

หลังจากที่อ่านจบ ความรู้สึกแรกคือ กลัว AI มากขึ้นกว่าเดิม Ford คาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้ว่าเราอาจถูกพวกหุ่นยนต์แย่งงานเราไปหมดไม่ว่าจะเป็นอาชีพไหน จนสุดท้ายแล้วอาจจะเป็นเหมือนที่ Elon Musk พูดไว้ในดีเบทล่าสุดกับ Jack Ma คือ อาชีพสุดท้ายก็คือคนเขียนโปรแกรมให้ AI และในที่สุดแล้วอาชีพนี้ก็จะหายไปด้วยเช่นกัน 

ผมก็ลองคิดวิธีรับมือกับ AI เหมือนกัน แต่ระหว่างที่อ่านไปก็ถูก Ford ยกข้อมูลที่มีน้ำหนักมาบอกปัดสมมติฐานของผมได้อย่างง่ายดายซึ่งพอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกอึดอัดเหมือนกันเวลาที่อ่าน แต่เป้าหมายของหนังสือเล่มนี้คงไม่ใช่ทำให้เราเกิดความกลัว ผู้เขียนน่าจะต้องการให้เราตระหนักถึงความสำคัญในอนาคตมากกว่า และนั่นคือสิ่งที่ Futurist ทำ 

การคาดการณ์ของ Ford จะแม่นยำขนาดไหนคงต้องว่ากันในอนาคต แต่สิ่งที่เขาทำให้เห็นในหนังสือก็คือความสมจริง ข้อมูลที่มีน้ำหนักประกอบกับการเล่าเรื่องทำให้เราเชื่อได้ว่าทุกสิ่งที่ผู้เขียนเขียนลงไปมันจะเป็นความจริงเข้าซักวัน 

คราวนี้ผมเลยเกิดอยากรู้ว่าคนที่เป็น Futurist มีวิธีการมองอนาคตแบบไหนถึงสามารถมองไกลได้ขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม Rise of Robot ไม่ได้บอกวิธีการเอาไว้ แต่ไม่เป็นไร เราลองไปหาคนอื่นดูก็ได้ 

ผมค้นข้อมูลเจออยู่ 2 คนที่ให้มุมมองที่น่าสนใจ คนแรกจะช่วยปรับ mindset ให้กับเรา ส่วนคนที่สองจะสอนวิธีการวางแผนอนาคตแบบใหม่ที่ไม่ใช่แบบที่คนทั่วไปใช้กัน 

----------------------

=ปรับ mindset ให้มองอนาคตแบบ Futurist=

Ari Wallach ทำงานเป็น Futurist มากว่า 20 ปี ทำงานร่วมกับภาคธุรกิจและองค์กรไม่แสวงหากำไรเพื่อคาดการณ์และเผชิญหน้ากับความท้าทายในอนาคต 

Ari Wallach

เขาเล่าว่าเวลาที่ไปพูดคุยกับผู้คนแล้วเขาบอกว่า เอาล่ะ เรามาพูดถึงอนาคตในอีก 10-20 ปีข้างหน้ากันเถอะ คนเหล่านั้นก็จะบอกว่า เยี่ยมไปเลย แต่เมื่อคุยไปคุยมา เขาก็เริ่มรู้สึกว่าช่วงเวลามันเริ่มสั้นลงๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาไปพบ CEO ของบริษัทแห่งหนึ่งแล้ว CEO คนนั้นบอกว่า “ผมอยากคุยเกี่ยวกับอนาคตอีก 6 เดือนข้างหน้า”

Wallach เรียกความคิดแบบนี้ว่า Short-termism ซึ่งมันแผ่กระจายไปทั่วทุกซอกทุกมุมในสังคมของเรา ตั้งแต่บ้านไปถึงธุรกิจและลามไปถึงการวางนโยบายของรัฐบาล การมองอะไรสั้นๆนั้นคิดออกง่ายกว่าการมองระยะยาว แต่การมองระยะสั้นไม่สามารถแก้ปัญหาใหญ่ๆที่เราเผชิญอยู่ได้

การมองระยะสั้นทำให้ CEO ไม่กล้าลงทุนซื้อเครื่องจักรราคาแพงเพราะมันจะส่งผลต่อบรรทัดสุดท้ายของงบการเงิน

การมองระยะสั้นทำให้ครูไม่คิดจะสร้างความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่งกับนักเรียน จนสุดท้ายเด็กต้องลาออก

การมองระยะสั้นทำให้เราไม่ใส่ใจกับการออมเงินทีละเล็กทีละน้อย จนสุดท้ายก็ไม่มีเงินเก็บซักที 

ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาใหญ่ๆบนโลกนี้ เราต้องปรับ mindset กันใหม่ซึ่ง Wallach ก็ให้วิธีคิดมา 3 แบบที่จะช่วยให้เรามองอนาคตให้ไกลขึ้น 

1) Transgenerational thinking 

ชื่อยาวไปหน่อยแต่แนวคิดไม่ได้ซับซ้อน ผมจะเรียกว่าการคิดแบบส่งต่อไปอีกรุ่นแล้วกัน Wallach กล่าวว่าเมื่อเราคิดจะทำสิ่งดีๆให้กับโลก คนเราส่วนใหญ่จะคิดแค่ช่วงเวลาระหว่างที่เราเกิดจนถึงเวลาที่เราตาย แต่ถ้าเราคิดว่าสิ่งที่เราทำในวันนี้จะส่งผลให้กับคนรุ่นต่อไป ความคิดของเราจะขยายกว้างมากขึ้น 

สมมติว่าคุณมีลูกวัยกำลังซน  คงเป็นเรื่องยากที่จะสร้างความสงบสุขเวลาที่คุณพาพวกเขาไปทานข้าวเพราะเด็กๆชอบส่งเสียงดัง แล้วถ้าคุณต้องการให้ลูกๆของคุณหยุดโวยวายล่ะ จะทำยังไง คุณอาจจะทำแบบพ่อแม่หลายคนนั่นคือหยิบสมาร์ทโฟนหรือแท็บเลตให้ลูกเล่น พวกเขาก็จะสงบลงแบบที่คุณต้องการ แต่แน่นอนว่ามันคือการแก้ปัญหาระยะสั้น 

สิ่งที่ Wallach ต้องการให้คิดใหม่คือ สิ่งไหนที่ทำแล้วจะส่งผลดีต่อลูกคุณมากกว่าและมันน่าจะดีต่อไปจนถึงหลาน ถึงเหลนของคุณด้วย 

การใช้เวลาสร้างความสัมพันธ์กับลูกย่อมส่งผลดีกว่า คุณอาจจะชวนลูกๆคุยถึงเรื่องที่โรงเรียน หรือในเวลาว่างๆก็วาดรูปเล่นกับลูก แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหนก็ตามมันย่อมเป็นเรื่องยากกว่าการยื่นสมาร์ทโฟนให้ลูกแน่นอน 

แต่ผลลัพธ์ที่คุณจะได้คือความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกๆ แล้วพวกเขาก็น่าจะนำประสบการณ์ดีๆที่ซึมซับไปใช้กับลูกของพวกเขาและมันจะตกทอดต่อไปเรื่อยๆ  

-----

2) Future thinking 

ลองหลับตานึกถึงอนาคตในอีก 10-15 ปีข้างหน้า คุณจินตนาการเห็นอะไรบ้าง คุณอาจจะนึกถึงเทคโนโลยีใหม่ๆเต็มไปหมด โลกของเราอาจจะมีของวิเศษแบบโดเรมอนให้เราใช้ ปัญหาใหญ่ๆที่โลกของเราเผชิญอยู่อาจจะสามารถแก้ไขได้ด้วยเทคโนโลยีในอนาคต 

อนาคตที่คุณนึกถึงจะเป็นแบบไหนก็ได้ มันไม่มีเรื่องถูกผิด แต่ถ้าจะต้องมองแบบ Futurist แล้ว เราต้องมองโลกอนาคตในมุมอื่นๆด้วย อย่ามองแค่อนาคตแบบเดียว 

งานของ Wallach ไม่ใช่การใช้พลังไปกับการค้นหาอนาคตแบบเดียว แต่เขาต้องทุ่มเทคาดการณ์อนาคตออกมาหลายๆแบบ ดังนั้นถึง Martin Ford จะเห็นอนาคตแบบหนึ่ง เราเองก็อาจจะเห็นอนาคตอีกแบบหนึ่งได้ แต่เราก็ต้องนำการคาดการณ์ของ Ford มาคำนวณด้วย หัวใจของการคิดถึงอนาคตก็คือเปิดใจให้กว้าง 

-----

3) Telos thinking 

คำว่า Telos มาจากภาษากรีก แปลว่า เป้าหมายขั้นสูงสุด มันคือการถามว่า สุดท้ายแล้วมันจะจบที่ตรงไหน Wallach กล่าวว่าเวลาที่เราคิดแก้ปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง เราควรต้องคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่เราทำการแก้ไขแล้วด้วย 

Thomas Kuhn นักปรัชญาและนักฟิสิกส์ประดิษฐ์คำว่า paradigm shift ขึ้นมาและกล่าวว่า “ผู้คนจะไม่เคลื่อนย้ายไปหาอีกสิ่ง ถ้าหากพวกเขาไม่อาจจินตนการถึงสิ่งที่พวกเขากำลังเคลื่อนไปหาได้” ถ้า Futurist สื่อสารได้ไม่ชัดเจนก็เป็นเรื่องยากที่ผู้คนจะกล้าลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง 

การกล่าวสุนทรพจน์ I Have a Dream ของ Martin Luther King Jr. คือตัวอย่างที่ดีที่ Futurist ควรทำตาม King ได้กล่าวถึงปัญหาและสาเหตุทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นในยุคนั้น จากนั้นเขาได้ให้ความเข้าใจแก่ผู้คนอย่างหนักแน่นว่าความฝันของเขาคืออะไรและสิ่งใดจะเกิดขึ้นตามมา 

--------------------

=วางแผนอนาคตของธุรกิจแบบ Futurist=

เวลาวาดแผนการในอนาคต เรามักจะเห็นคนส่วนใหญ่ขีดเส้นตรงมาหนึ่งเส้นแล้วมาร์กจุดแต่ละช่วงเอาไว้ จากนั้นใส่รายละเอียดเข้าไปแต่ละจุด กรณีแบบนี้เราเรียกว่า Timeline 

แต่ Amy Webb ซึ่งเป็น Quantitative futurist บอกว่าเธอไม่ใช้ Timeline ในการวางแผนอนาคต เหตุผลก็เพราะ Timeline ทำให้เรารู้สึกมั่นใจว่าหลายๆอย่างเราสามารถควบคุมที่ไม่แน่นอนหลายๆอย่างได้ 

Amy Webb

เราใส่เหตุการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นเข้าไป เติมความสับสนวุ่นวายเข้าไปให้เราต้องขบคิด แล้วก็ร่างความสำเร็จขึ้นมาในแต่ละจุด แถมรับประกันด้วยว่าสำเร็จตามแผนแน่นอน 

อย่างไรก็ตามโลกของเรานั้นยุ่งเหยิงกว่าที่คิดและ Webb พบว่าถึงแม้จะมีการวาง Timeline กันมาแล้ว แต่เมื่อถึงเวลาระดมความคิดกันจริงๆ กลับได้แต่มุมมองทีใช้แก้ปัญหาระยะสั้น 

ปี 2001 Webb ได้ไปพบกับกลุ่มผู้บริหารหนังสือพิมพ์เพื่อพูดคุยถึงการคาดการณ์อนาคต แต่ผู้บริหารเหล่านั้นกลับตั้งเป้าเอาไว้แค่ปี 2005 เท่านั้น การมองแบบนั้นมันสั้นเกินไปที่จะรับมือกับภัยคุกคาม เธอคิดว่าพวกเขาควรตระหนักถึงอนาคตให้ไกลกว่านี้

Webb ได้ยกตัวอย่าง i - Mode phone ซึ่งเป็นโทรศัพท์ญี่ปุ่น เธอใช้ตอนที่อยู่ในโตเกียว มันเป็นสมาร์ทโฟนดั้งเดิมที่สามารถต่ออินเตอร์เน็ตได้ สามารถทำการจ่ายเงินผ่านโทรศัพท์ได้ และมีกล้องถ่ายรูปด้วย เธอถามผู้บริหารเหล่านั้นว่า จะเป็นยังไงถ้าโทรศัพท์เครื่องนี้มีราคาถูกลง มันจะไม่เกิดการไหลทะลักของข้อมูล การเกิดโฆษณาดิจิทัล และโมเดลธุรกิจที่แบ่งผลกำไรกันอย่างงั้นเรอะ 

แต่เมื่อสมาร์ทโฟนอยู่นอกกรอบ 2005 พวกผู้บริหารจึงยังไม่สนใจที่จะหาวิธีใช้ประโยชน์จากสมาร์ทโฟน พวกเขายังคงวางแผนระยะสั้นอยู่เหมือนเดิม และหลังจากการประชุมครั้งนั้นธุรกิจหนังสือพิมพ์ก็เริ่มแย่ลง จนสุดท้ายก็ถูก disrupt 

เพื่อป้องกันการมองอะไรสั้นๆที่เกิดจากการใช้ Timeline Webb จึงเสนอให้เราใช้สิ่งที่เรียกว่าTime Cones แทน มันจะช่วยให้เรามองทั้งระยะสั้นและระยะยาวในเวลาเดียวกัน ทุกงานที่เกี่ยวกับการคาดการณ์ เธอจะใช้ Time Cones ในการวางแผน 

ใน cone จะประกอบด้วย 4 ส่วนคือ 1) Tactic 2) Strategy 3) Vision และ 4) System-level evolution ทั้ง 4 ส่วนนี้ถูกแบ่งออกไปตามช่วงเวลา มันคือสิ่งที่ใช้ในการรับมือกับปัญหาตามช่วงเวลานั้นๆ 

Time cones

จุดแรกของ cone คือจุดที่แคบที่สุด กรอบระยะเวลาที่เราวางเอาไว้คือ 12-24 เดือนข้างหน้า กรอบเวลานี้เราสามารถใช้ tactic หรือยุทธวิธีการแก้ปัญหาระยะสั้นได้ เพราะมันเป็นช่วงที่เรามีข้อมูลและหลักฐานพร้อมมากที่สุด ยุทธวิธีของเราอาจจะเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่หรือการมองหาลูกค้าใหม่ๆ 

แต่ยุทธวิธีนั้นต้องเข้ากันกับ Strategy หรือยุทธศาสตร์ขององค์กรด้วย ยุทธศาสตร์เอาไว้ใช้รับมือกับอนาคตในอีก 24 เดือนถึง 5 ปีข้างหน้า ช่วงเวลานี้เราจะคาดการณ์อะไรได้ยากขึ้น การลงมือทำและการวัดผลก็ต้องดูกันให้ยาวกว่าช่วงแรกแต่ไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียดมากเท่ากับยุทธวิธี  กุญแจสำคัญในการกำหนดยุทธศาสตร์คือ “ไม่ต้องคุมเข้ม แต่เป้าหมายต้องชัด”

Webb พบว่าบริษัทส่วนใหญ่ติดอยู่ช่วงระหว่างยุทธศาสตร์และยุทธวิธี 

พอมาถึงการมองอนาคตในอีก 5-10 ปี ความไม่แน่นอนยิ่งมากขึ้นแต่ข้อมูลกลับน้อยลง สิ่งที่จะทำให้บริษัทเดินหน้าอย่างแน่วแน่คือ วิสัยทัศน์ของผู้นำ โดยในส่วนนี้ Webb ในฐานะ futurist จะเข้ามาช่วยในการตัดสินใจโดยจะดูว่าผู้บริหารจะติดตามผลการวิเคราะห์ยังไง จะไปลงทุนที่ไหน และพวกเขาจะพัฒนาแรงงานที่วันหนึ่งจำเป็นต้องใช้ยังไง 

แต่ในที่สุดแล้ววิสัยทัศน์ก็ต้องเข้ากันกับส่วนสุดท้ายของ cone นั่นคือ System-level evolution มันเป็นส่วนที่กว้างที่สุดของ cone ซึ่งสื่อถึงอนาคตที่กว้างไกลเกินกว่าจะคาดเดาได้แม่นยำ 

ในอนาคตที่ไกลกว่า 10 ปี ผู้บริหารต้องมีภาพที่ชัดเจนว่าจะสร้าง “วิวัฒนาการ” ให้กับองค์กรของตัวเองให้ไปทางไหนเพื่อเผชิญกับความท้าทาย ทั้งเทคโนโลยีใหม่ การเปลี่ยนแปลงของตลาด การเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ 

แน่นอนว่าเราก็ไม่สามารถรู้ได้แน่ชัดว่าเราจะเจออะไรบ้าง แต่อย่างน้อยคนที่เป็นผู้นำก็ต้องอธิบายได้ว่าคาดหวังให้องค์กรและกลุ่มอุตสาหกรรมมีวิวัฒนาการไปในทิศทางไหน 

--------------------

Time cones ของ Webb ต่างจาก Timeline ตรงที่มันมีการขยับไปข้างหน้าเสมอ 

ถ้าเป็น Timeline จะไม่มีความยืดหยุ่นเท่า พอเรากำหนดจุดลงไป เราก็ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลง แต่ใน Time cones นั้น ทุกครั้งที่คุณได้รับข้อมูลหรือหลักฐานใหม่ๆเข้ามา คุณต้องรีเซ็ตจุดเริ่มต้นของคุณใหม่ ยุทธวิธีที่เคยใช้อาจจะต้องเปลี่ยน ผลที่คุณได้คือ องค์กรที่มีความยืดหยุ่นที่สามารถอยุ่รอดได้โดยการปรับตัวตามสถานการณ์ 

ดูเหมือนไม่ว่ายุคสมัยไหน ความสามารถในการปรับตัวก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราอยู่รอดปลอดภัย การมี futurist มาให้มุมมองที่กว้างไกลก็เป็นตัวช่วยให้เรารู้ว่าควรปรับตัวไปทางไหน บางทีสิ่งที่พวกเขาพูดอาจจะดูเพ้อๆไปบ้าง แต่เราก็ควรทำแบบที่ Ari Wallach แนะนำคือ จินตนาการถึงความเป็นไปได้ให้ได้มากที่สุด 

Futurist ไม่ได้มีหน้าที่ฟันธงอนาคต แต่พวกเขาช่วยชี้แจงข้อมูลที่สำคัญและสอนให้เรามองสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่มีอคติ สอนให้เรารู้ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เราควรต้องรับมือแบบไหน จากนั้นสิ่งที่เราทำก็จะทำให้เกิดอนาคตแบบใดแบบหนึ่ง

หรือก็คือเหมือนกับประโยคที่ว่า วิธีทำนายอนาคตที่ดีที่สุดก็คือ สร้างมันขึ้นมา 

--------------------

ข้อมูลอ้างอิง :

https://ideas.ted.com/three-ways-to-think-about-the-future/

https://hbr.org/2019/07/how-to-do-strategic-planning-like-a-futurist


ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ทำไมความสำเร็จของ Bruno Mars มาจากความซื่อสัตย์ ไม่ใช่ทักษะทางดนตรี?

หลายคนคงรู้จัก Bruno Mars นักร้องชื่อดังที่มีเพลงฮิตติดหูมากมาย แต่ความสำเร็จในวันนี้ นอกจากความสามารถทางดนตรีแล้ว เจ้าตัวเผยว่า ‘ความซื่อสัตย์’ ต่อสิ่งที่ทำ เป็นคุณสมบัติที่สำคัญท...

Responsive image

ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ มาจากคอนเนคชั่นและการเลือกคบคน บทเรียนสำคัญของ Mark Zuckerberg

Mark Zuckerberg ชี้การเลือกสร้างมิตรภาพและความสัมพันธ์นั้นอาจสำคัญกว่าเป้าหมายเสียอีกเพราะการที่เราจะเติบโตขึ้นไปเป็นใครสักคนหนึ่ง ผู้คนที่เราคบหาส่งผลอย่างมากต่อตัวตนของเรา...

Responsive image

เทียบสวัสดิการหญิง ไทยสู้ใครได้บ้าง?

บทความนี้ Techsauce จึงจะพามาดูว่าการต่อสู้กว่า 1 ศตวรรษที่ผ่านมา ในปัจจุบัน ‘สิทธิสตรี’ และสวัสดิการหญิงทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว...