จับตาทิศทางเศรษฐกิจและการค้าทั่วโลก เมื่อผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่คือ โจ ไบเดน | Techsauce

จับตาทิศทางเศรษฐกิจและการค้าทั่วโลก เมื่อผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่คือ โจ ไบเดน

ค่อนข้างเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า โจ ไบเดน คว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง ปธน. สหรัฐฯ คนที่ 46 และครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร แต่กลับไม่สามารถครองเสียงข้างมากได้ในวุฒิสภา โดยจากข้อมูลล่าสุดในวันที่ 10 พ.ย. 2020 นายโจ ไบเดน ตัวแทนจากพรรคเดโมแครตมีแนวโน้มที่จะชนะการเลือกตั้ง ปธน. ในครั้งนี้ หลังเอาชนะได้ในรัฐสำคัญที่มีคะแนนไม่ทิ้งห่างกันมากนัก (Swing States) อย่างมิชิแกน วิสคอนซิน และเพนซิลวาเนีย ที่มีจำนวนที่นั่งจากคณะผู้แทนเลือกตั้ง (Electoral College) รวมถึง 46 ที่นั่ง จนทำให้คะแนนทิ้งห่างทรัมป์มากขึ้น และคาดว่าพรรคเดโมแครตจะสามารถกุมเสียงข้างมากไว้ได้ในการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร (House of Representatives) 

แต่เสียงจากวุฒิสภา (Senate) คาดว่ากลับเป็นฝ่ายพรรครีพับลิกันที่มีโอกาสครองเสียงข้างมาก ทั้งนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกตอบรับเชิงบวก หลังไบเดนพลิกกลับมาเอาชนะได้ในรัฐชี้ชะตาสำคัญ เนื่องจากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ไบเดนจะชนะการเลือกตั้ง ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกตอบรับเชิงบวก ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดมีโอกาสเปิดรับความเสี่ยง (Risk-on) และเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น  

นัยต่อเศรษฐกิจและการค้าโลกจะเป็นอย่างไร?

แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัวได้ไม่เท่ากับกรณี Blue Wave Victory แต่คาดว่าจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก จากผลการศึกษาของ Moody’s Analytics พบว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัวได้มากที่สุดในกรณีที่พรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งทุกสนามหรือที่เรียกว่า Blue Wave Victory โดยเศรษฐกิจจะขยายตัวได้น้อยลง หากพรรคเดโมแครตชนะในการเลือกตั้ง ปธน. และครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร แต่ไม่สามารถครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา (รูปที่ 1) อย่างไรก็ดี การผลักดันนโยบายที่ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอาจไม่ง่ายอย่างที่คิด นโยบายหลักของ (ว่าที่) ปธน. ไบเดน อาจถูกสกัดจากฝั่งวุฒิสภาที่รีพับลิกันครองเสียงข้างมากอยู่ โดยมองว่า นโยบายหลักที่ต้องตราเป็นกฎหมาย เช่น นโยบายภาษีและการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานอาจถูกต่อรองจากวุฒิสภา ซึ่งจะทำให้นโยบายของไบเดนไม่สามารถดำเนินได้ทันทีตามที่ได้หาเสียงไว้ อย่างไรก็ตาม คาดว่า ว่าที่ ปธน. ไบเดน อาจใช้คำสั่ง ปธน.สหรัฐฯ หรือ Executive Order ในบางนโยบายที่จำเป็นเร่งด่วน

บรรยากาศการค้าของสหรัฐฯ กับคู่ค้ามีแนวโน้มผ่อนคลายมากขึ้น ที่ผ่านมา การมุ่งเดินหน้าทำสงครามการค้ากับจีนของสหรัฐฯ มักเป็นไปเพื่อการตอบโต้ท่าทีของจีนโดยตรง ซึ่งมักไม่ได้ผ่านการเห็นชอบหรือการอนุมัติจากสภา แต่ยุทธศาสตร์ของไบเดนจะเป็นการทำสงครามทางอ้อมหรือเป็นการ “โอบล้อม” จีนผ่านความร่วมมือทางการค้ากับประเทศอื่นๆ เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองของสหรัฐฯ ในเวทีโลก ทำให้ในระยะข้างหน้า มองว่า ไบเดนซึ่งมีแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยมจะนำสหรัฐฯ กลับเข้าแข่งขันทางการค้ากับชาติอื่นๆ ให้เป็นไปอย่างเท่าเทียม (Level-playing field) และอยู่ภายใต้กฎกติกา (Rule-based) มากขึ้นกว่าสมัยที่ทรัมป์เป็น ปธน. เช่น การกลับเข้าร่วมกับองค์การการค้าโลก (WTO) (หลังจากที่ทรัมป์ขู่จะถอนตัวจากสนธิสัญญา GPA  ภายใต้การกำกับของ WTO หลังจากที่ WTO ตัดสินให้สหรัฐฯ มีความผิดฐานเก็บภาษีนำเข้าจากจีนและละเมิดกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศหลายข้อ รวมถึงช่องโหว่ทางกฎหมายที่ทำให้สหรัฐฯ เสียเปรียบทางการค้า)

นัยต่อการค้าของไทยนับจากนี้จะเป็นอย่างไร?

Benefits

เราน่าจะเห็นยุทธศาสตร์การฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าแบบพหุภาคี (Multilateral) รวมถึงให้ความสำคัญกับอาเซียนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน รวมไปถึงโอกาสที่สหรัฐฯ จะกลับมาทบทวนการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) ของไทยก็มีเพิ่มมากขึ้น ภายหลังจากที่ถูกตัดสิทธิไปถึงสองครั้งในสมัยของทรัมป์ นอกจากนี้ ยังมีโอกาสสูงที่สหรัฐฯ จะกลับมาสานต่อความตกลง CPTPP อีกครั้ง (หรือ ความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือเดิมคือข้อตกลง TPP) ซึ่งจะครอบคลุมไปถึงการส่งออกสินค้าไปยังตลาดใหม่ที่ไทยยังไม่ได้มีข้อตกลงทางการค้าด้วย เช่น เม็กซิโกและแคนาดา เพราะเป็นแนวคิดหลักตั้งแต่สมัยที่โอบามาเป็น ปธน. และไบเดนเป็นรอง ปธน. ในการสร้างจุดยุทธศาสตร์การค้าในฝั่งเอเชียและเพิ่มแรงกดดันทางการค้ากับจีน โดยเฉพาะข้อตกลง RCEP (ความตกลงพันธมิตรทางการค้าระดับภูมิภาค ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่าง ASEAN 10 ประเทศกับคู่ภาคี) ที่มีจีนเป็นหัวหอกหลัก

ความต้องการสินค้ากลุ่ม Commodity ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เช่น เหล็ก อลูมิเนียม คอนกรีต มีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายไปกับการลงทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตามที่ไบเดนได้หาเสียงไว้ เช่น ระบบขนส่งสาธารณะ รถไฟความเร็วสูง ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ ฯลฯ ซึ่งจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมก่อสร้างและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของไทย 

การสนับสนุนพลังงานสะอาด (Green Energy) ช่วยให้อุตสาหกรรมการผลิตพลังงานทางเลือกของไทยได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย โอกาสที่นักลงทุนทั่วโลกจะโฟกัสการลงทุนในกลุ่มของพลังงานทางเลือกมีมากขึ้น รวมถึงตัวเลือกในตลาดหุ้นไทยก็มีความน่าสนใจ สะท้อนจากหุ้นใน SET Index ของไทยที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงไฟฟ้า พลังงานสะอาด และธุรกิจที่สนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนที่ปรับตัวพุ่งสูงขึ้นทันทีที่คะแนนของไบเดนพลิกกลับมาเอาชนะได้ในรัฐสำคัญ (เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2020)

Challenges 

การส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยอาจได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากการส่งเสริมพลังงานสะอาด ทำให้มูลค่าตลาดรถยนต์ EV ทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจจะลดบทบาทตลาดรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน และแน่นอนว่าจะกระทบผู้ประกอบการไทยที่เป็น Supply Chain ที่สำคัญของโลกในการผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์สันดาปภายใน นอกจากนี้ การห้ามการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในดินแดนของรัฐ และเป้าหมายในการลดการใช้พลังงานจากฟอสซิล เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ (Net zero emission) ให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 จะยิ่งเป็นแรงกดดันให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และจะกระทบต่อต้นทุนการผลิตของไทย แม้ว่าจะช่วยให้มูลค่าการส่งออกเพิ่มสูงขึ้นในระยะสั้นก็ตาม

ความตกลง CPTPP อาจเพิ่มอุปสรรคต่ออุตสาหกรรมเกษตรของไทย หากไทยมีความจำเป็นต้องเข้าร่วม CPTPP เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง “เวียดนาม” ก็จะเป็นการเปิดช่องให้ไทยต้องนำเข้าสินค้าจากประเทศสมาชิกมากขึ้น เช่น กากถั่วเหลือง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รวมไปถึงปุ๋ย สารเคมี และยาฆ่าแมลงที่หลายประเทศส่งออกเป็นสินค้าเกษตรหลัก นอกจากนี้ ยังมีข้อบัญญัติที่สมาชิกจำเป็นต้องเข้าร่วมในอนุสัญญาการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ (UPOV 1991) ที่จะทำให้เกษตรกรไทยไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์พืชไว้ปลูกต่อได้ แต่กลับเปิดโอกาสให้ประเทศสมาชิกสามารถนำพันธุ์พืชไทยไปวิจัยและพัฒนา และสามารถจดสิทธิบัตรได้ (แม้ประเทศสมาชิกอย่างนิวซีแลนด์จะขอยืดเวลาการบังคับใช้เกณฑ์นี้ออกไป) 

การส่งออกสินค้าที่พึ่งพาแรงงานเข้มข้น (Labor-intensive) อาจเป็นที่จับตามากขึ้น เช่น อาหารทะเล โดยสหรัฐฯ พุ่งเป้าไปที่ประเด็นด้านสิทธิแรงงานในภาคประมงที่ยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร ซึ่งอาจเปิดทางไปสู่การใช้มาตรการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ แม้ไทยมีความพยายามแก้ไขเรื่องการค้ามนุษย์มาอย่างต่อเนื่อง จนสามารถขยับจากกลุ่ม Tier 3 ปี 2014 หรือกลุ่มที่ไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำ มาเป็นกลุ่ม Tier 2 Watch list (กลุ่มที่ไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำ แต่กำลังใช้ความพยายามอย่างยิ่ง) แต่ถือว่ายังไม่มีความคืบหน้าให้เห็นชัดเจนนัก

ความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกถูกลดทอนลงจากเงินบาทเทียบดอลลาร์ฯ ที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น หากไบเดนชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ อาจสร้างแรงกดดันต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนออกจากสหรัฐฯ กดดันค่าเงินดอลลาร์ฯ ให้มีแนวโน้มอ่อนค่า กระทบค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์ฯ ให้แข็งค่าขึ้นได้ เนื่องจาก 

1) ตลาดคลายความกังวลจากความไม่แน่นอน สะท้อนจากตลาดหุ้นทั่วโลกตอบรับเชิงบวกภายหลังจากไบเดนพลิกกลับมาเอาชนะได้จนมีคะแนนทิ้งห่างทรัมป์ ซึ่งจะส่งผลให้ในระยะต่อไปตลาดมีโอกาสเปิดรับความเสี่ยง (Risk-on) และเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ นอกจากนี้ ยังทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มคงท่าทีการผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน และลดโอกาสที่จะใช้นโยบายควบคุมอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ (Yield Curve Control) เพื่อลดต้นทุนการกู้ยืมในระยะยาว 

2) แรงกดดันต่อผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นฝั่งสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น ผ่านการปรับเพิ่มอัตราภาษี เช่น การปรับขึ้นภาษีรายได้บุคคลธรรมดาที่มีรายได้สูงจาก 37% เป็น 39.6% และภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 28% รวมถึงกำหนด Minimum federal tax กับกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีอย่างชัดเจน ทำให้บริษัทจดทะเบียนมีต้นทุนด้านภาษีเพิ่มสูงขึ้นและกระทบต่อผลกำไร ซึ่งอาจทำให้เม็ดเงินลงทุนไหลออกจากตลาดสหรัฐฯ เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่ดีกว่า

บทความโดย คุณมานะ นิมิตรวานิช และ คุณพิมฉัตร เอกฉันท์ Krungthai COMPASS

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

5 ข้อแตกต่างที่ทำให้ Jensen Huang เป็นผู้นำใน 0.4% ด้วยพลัง Cognitive Hunger

บทความนี้จะพาทุกคนไปถอดรหัสความสำเร็จของ Jensen Huang ด้วยแนวคิด Cognitive Hunger ความตื่นกระหายการเรียนรู้ เคล็ดลับสำคัญที่สร้างความแตกต่างและนำพา NVIDIA ก้าวสู่ความเป็นผู้นำระดับ...

Responsive image

เรื่องเล่าจาก Tim Cook “...ผมไม่เคยคิดเลยว่า Apple จะมีวันล้มละลาย”

Apple ก้าวเข้าสู่ยุค AI พร้อมรักษาจิตวิญญาณจาก Steve Jobs สู่อนาคตที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรม โดย Tim Cook มุ่งเปลี่ยนโฉมเทคโนโลยีอีกครั้ง!...

Responsive image

วิจัยชี้ ‘Startup’ ยิ่งอายุมาก ยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จ

บทความนี้ Techsauce จะพาคุณไปสำรวจว่าอะไรที่ทำให้ วัย 40 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของนักธุรกิจและ Startup หลายคน...