เคยเป็นไหมที่บางครั้งเหมือนเราอยู่กึ่งกลางระหว่าง Scrum กับ Kanban จะไปก็ไปไม่สุด แต่ละ Method มี Limit ที่เราไม่สามารถก้าวข้ามมันไปได้
การทำงานเป็น Vendor ให้กับบริษัทลูกค้า ยิ่งสัญญาเป็น Time and Material แล้ว การที่เราจะไปเปลี่ยนแปลงองค์กรของลูกค้านั้นต้องใช้ทั้ง Effort และค่าใช้จ่าย ในขณะที่ลูกค้าเองก็มองว่าทำไมฉันต้องเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ทำงานร่วมกับองค์กรที่ไม่ได้อยู่ในแวดวง IT ซึ่งเค้าอาจจะชินกับการทำงานแบบเดิม และไม่มีผลให้ต้องเปลี่ยนแปลง ทำให้ Scrum Team ต้องคอยปรับตัวให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงแบบ Adhoc ที่เข้ามาเสมอ
ทำให้มันพ่วงมากับปัญหาต่างๆมากมายจากการใช้ Scrum ในเคสนี้ เช่นทำไมมีงานแทรกกลางสปริ้นตลอด, ทีม Lost Focus, บางครั้งมีการ Rework บ่อยครั้ง, และไม่สามารถจบ DOD ได้เพราะต้องรอการ Approve จากผู้บริหารก่อน
source: Nuntikarn (MAQE)
พอเกิดเคสนี้ขึ้นในหลายๆ ครั้งใน Project มันก็เกิดคำถามขึ้นว่า หรือเราไม่เหมาะกับ Scrum…
Scrum Framework เหมาะกับโปรเจคที่เราจะเติบโตไปกับมันทั้ง Process และ Product รวมถึงพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวเสมอในทุกๆสปริ้น รวมถึงการ Enhance Product ในระยะยาว รับ Feedback และพร้อมแก้ไขให้เหมาะกับตลาดอยู่เสมอ
ดูทรงแล้วก็น่าจะเวิร์คนี่นา แต่…
Scrum ทำงานเป็นสปริ้น แต่ละสปริ้นจะมี Goal ที่ชัดเจน ทีมจะ Focus กับ Goal แล้วส่งมอบงานเมื่อจบสปริ้นที่ตกลงไว้เท่านั้น เพื่อให้ทีมสามารถ Focus ได้ชัดเจน แต่ปัญหาที่ตามมาของ Vendor คือถ้า Direction ของ Product ไม่ชัดเจน และมีการเปลี่ยนแปลง Requirement บ่อยๆ จะทำให้มีงานแทรกกลางสปริ้นและอาจต้องเบรคสปริ้นตลอด ซึ่งถึงต่อให้ใช้เป็นสปริ้น 1 วีค ระยะเวลาก็น้อยเกินกว่าจะพัฒนางานออกมาเป็นชิ้นเป็นอันในสปริ้นได้ และอาจทำให้เกิด Gap จาก DOD ตั้งแต่เริ่มงานจนส่งมอบงานถึงมือลูกค้าได้สำเร็จ และทีมต้องมาคอยเก็บ Gap ที่ต้องมาทำ sprint UAT หรือ sprint deployment ตรงนี้ด้วย ซึ่งก็อาจจะผิดหลักของ Scrum ไปได้
รวมถึง Scrum นั้นยังไม่เหมาะกับการที่ต้องทำงานร่วมกับทีมที่ยังทำงานด้วยรูปแบบเก่าๆ อย่างเช่นที่กล่าวไว้ตอนต้น เมื่อลูกค้าไม่สามารถเปลี่ยนการทำงานให้เหมาะสมกับ Scrum ได้ ทีม Scrum เองก็จะต้อง manage priority และ design software ให้มีความหลากหลายมากๆ
Source: https://pmprotocol.blogspot.com/2015/02/scrum-issue-08-product-owner-cant.html
แล้ว Kanban ล่ะ จะเหมาะกับการทำงานแบบ Vendor รึเปล่านะ…
มาเข้าใจ Kanban กันก่อน Kanban เหมาะกับทีมที่มีความยืดหยุ่นสูง และสามารถปรับใช้ได้กับทุก Workflow เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งยังสามารถจำกัด Work in Progress และทำให้มี Transparent มากขึ้น แถมยังเหมาะกับการเปลี่ยน Priority งานกลางทางได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย ทำให้งานของ Kanban นั้นสามารถส่งมอบงานได้อย่างต่อเนื่อง
เอ..ดูๆทรงแล้วก็น่าจะใช้ได้นี่นา
แล้วทำไมไม่ใช้ Kanban ล่ะ ซึ่งถ้าลองมาดูจริงๆ Kanban นั้นเหมาะกับองค์กรที่มี Process อยู่แล้ว แต่บังเอิ๊ญเคสนี้ดันทำงานร่วมกับลูกค้าที่อยู่กันคนละองค์กรทำให้มี Process ที่ต่างกันและที่สำคัญ Kanban ยังไม่เหมาะกับการที่ต้อง Enhance Software ใหญ่ๆ หรือที่ต้อง Maintain ยาวๆ อีกด้วย เพราะว่า…
จากเหตุด้านบน ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องทำการ Maintain Software ใหญ่ๆ อาจจะไม่เหมาะ ยิ่งต้องทำงานร่วมกับลูกค้าจึงไม่เหมาะจะใช้ Kanban เพียวๆเลย
Source: https://memegenerator.net/instance/68190306/psy-oppa-kanban-style
ถ้า Scrum ก็ไม่ได้ Kanban ก็ไม่เหมาะ แล้วเราจะทำยังไงดีนะ…
เอาจริงๆ แล้วก็อยากได้ความ Flexible ของ Kanban และอยากได้ Structure ของ Scrum ก็เลยลองมานั่งๆ Research ไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอกับ Framework ตัวนึงเข้า ที่มีชื่อว่า ScrumBan
น่าสนใจเลยทีเดียว ScrumBan เป็นการรวมข้อดีระหว่าง Scrum กับ Kanban โดยการนำเอา Structure ของ Scrum และความ Flexible ของ Kanban มารวมอยู่ด้วยกัน ทำให้เกิด Hybrid Framework ซึ่งหากใช้งานอย่างถูกวิธี จะสามารถดึงเอาความลงตัวและจุดเด่นของทั้งสอง Framework มาใช้งาน ซึ่งทำให้ดึงข้อดีจากการวางแผนที่ดีของ Scrum และอิสระในปรับปรุง Flow และ Process ของ Kanban มาประยุกต์ใช้งานร่วมกันได้อีกด้วย
Source: https://www.researchgate.net/figure/Agile-Scrumban-in-the-Kampus-merdeka-learning-system_fig2_349147683
Source: https://kanbantool.com/scrumban
Source: https://www.leanmemes.com/2014/05/do-you-want-to-build-kanban-song-parody.html
ดูแบบนี้แล้วเป็น Framework ที่น่าสนใจและมีความคล่องตัวสูงเลย แต่รู้ไหมว่า Scumban เองก็ไม่ได้มีแต่ข้อดีหรอกนะ เหมือนกับ Scrum และ Kanban หากเราใช้ไม่ถูกวิธีหรือใช้ไม่ถูกสถานการณ์มันก็ตามมาด้วยผลเสียได้เช่นกัน
ทิ้งท้ายไว้… ไม่ว่าจะเป็น Scrum, Kanban และ Scrumban จะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป เพราะงั้นเราควรเลือกใช้ Methodology ให้เหมาะกับสถานการณ์ และคอยคำนึงถึง Limitation และความต้องการของทีมด้วย และการ Implement ในทุกๆ Agile Framework ที่ใช้ อย่าลืมคำนึงถึงหลัก Agile Manifesto ด้วย ไม่งั้นได้กลายเป็น Mini Waterfall แน่ๆ
บทความนี้เป็น Tech Saucier โดย Nuntikarn 'Book' Sakunrungjarus (MAQE)
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด