เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการจัดงานเสวนา Co-founder dating: Let's hack the city together! ภายในงานได้รับโอกาสจากบุคคลที่น่าสนใจถึง 4 คน โดยทั้งหมดนี้ต่างมีความรู้เเละมีประสบการณ์เกี่ยวกับ Smart City ในแต่ละภาคส่วนตั้งเเต่ ภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงชุมชน โดยเเต่ละคนต่างมีบทบาทเเตกต่างกัน เเล้วความเเตกต่างของทั้ง 4 คนนี้ทำไมถึงเป็นจุดสำคัญของการเสวนาในหัวข้อ Smart City หากพูดถึงคำว่า “ เมือง ” คงหนีไม่พ้นการอยู่อาศัยของผู้คนจำนวนมาก ซึ่งเเน่นอนว่าหากต้องการพัฒนาเมืองคงไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเรื่องของคนใดคนหนึ่ง แต่จำต้องอาศัยความรู้และความคิดเห็นจากทุกคน
Smart City คำยอดฮิตที่หลายประเทศทั่วโลกต่างพยายามพัฒนาประเทศของตนให้กลายเป็นเมืองอัจฉริยะหรือเมืองที่มีความทันสมัย คนส่วนมากจึงมองว่าเมืองที่ Smart ต้องมีนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่รู้หรือไม่ว่าการพัฒนาให้เป็น Smart City ไม่ใช่เเค่เรื่องจะเอาเทคโนโลยีใดเข้ามาโดยใช้ทุนจำนวนมากเพื่อให้ได้นวัตกรรมนี้มา หรือสร้างเทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่างเดียวโดยไม่ดูว่าสร้างเพื่ออะไร? สร้างมาเเล้วตอบโจทย์ปัญหาได้อย่างยั่งยืนไหม?
แล้ว Smart City ในมุมมองของคุณเป็นอย่างไร? หนึ่งในคำถามหลักของงานนี้ เราเชื่อว่าภาพในความจำหรือความเข้าใจของเเต่ละคนคงมีมากมาย แต่ครั้งนี้ลองมาฟังมุมมองจากทั้ง 4 หนุ่มกัน
ไอติม : เมื่อพูดถึง Smart City ผมลองไปเปิด dictionary เพื่อหาความหมายเเละส่วนมากก็จะเเปลตรงตัวว่า “อัจฉริยะ” ซึ่งในมุมมองของผมการที่จะเป็นเมืองอัจฉริยะได้คือ ทำอย่างไรให้เมืองสามารถคิด ตรวจสอบ และแก้ปัญหาในตัวของมันเองได้มากที่สุด ซึ่งคงหลีกเลี่ยงการใช้เทคโนโลยีไม่ได้ที่จะเข้ามาช่วยบริหารจัดการให้มีความเป็นอัตโนมัติ นอกจากมุมมองเเรกที่ทุกคนอาจมองภาพเดียวกันอยู่เเล้ว ยังมีอีกมุมมองที่สองซึ่งผมอยากจะมาเเชร์ คือ Smart City ที่มากกว่าเทคโนโลยี หากลองเปรียบตัวอย่างการมองคนว่าเขาเป็นคน Smart คุณจะมองที่อะไร ซึ่งผมมองว่า
ท้ายสุดแล้ว การที่เรามองคนๆ หนึ่งว่าเขา Smart ไม่ใช่เเค่เขานำเทคโนโลยีมาใช้ให้คุณภาพชีวิตเขาดีขึ้นแต่เขาเป็นคนที่เท่าทันต่อการเปลี่ยนเเปลงของโลกในอนาคต
1. เทคโนโลยีเพื่อการบริหารจัดการมีความอัตโนมัติ
2. การวางแผนเพื่อรองรับอนาคตเเค่ไหน ความเท่าทันอนาคตในด้านสิ่งเเวดล้อม การใช้ชีวิตของผู้คน
การรู้เท่าทันต่อโลกอนาคตเพื่อรองรับการปรับตัวอาจไม่เกี่ยวกับเรื่องของเทคโนโลยีแต่คือการทำยังไงให้การสร้างเมืองใหม่ขึ้นมาแล้วมีการวางเเผนผังเมืองไว้ชัดเจน และสามารถสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้ผู้อยู่อาศัย ซึ่งเวลามองไม่ใช่เเค่การนำมาใช้แต่ต้องมองว่าจะใช้อย่างไรให้ฉลาดเเละเกิดประโยชน์ต่อชีวิต
ดร.นน : สำหรับผมในเเง่ของเทคโนโลยี อีกจุดที่สำคัญในการพัฒนาคือ Data ยิ่งมีมากเรายิ่งเเม่นยำและใช้เวลาน้อยสำหรับการคิดวิเคราะห์เพื่อตัดสินใจหรือวางเเผนสำหรับการพัฒนา
ข้อมูลใช่ว่ามีเเล้วจะทำให้ชีวิตผู้คนดีขึ้นทันที เเต่ขึ้นอยู่กับว่าเราจะนำมาใช้อย่างไรเพื่อให้เกิดประโยชน์ตอบโจทย์สิ่งที่ต้องการพัฒนา
ยกตัวอย่างเทคโนโลยีเพื่อการเดินทาง หากเรามีข้อมูลช่วงเวลายอดนิยมของคนไทยว่าออกไปทำงานช่วงไหน เราอาจนำข้อมูลมาคำนวณช่วงเวลารถติดได้ ซึ่งจะช่วยให้เราตัดสินใจว่าเราควรจะเดินทางเวลาไหน หรือ วางเเผนการเดินทางล่วงหน้าอย่างไร
หากมองในมุม Smart City ยิ่งเรามีข้อมูลมากจะช่วยอะไรได้บ้าง คงเป็นเรื่องการตัดสินใจได้ดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นระบบอัตโนมัติในด้านเทคโนโลยี หรือ มุมการคิดวิเคราะห์ด้วยตนเอง ที่สามารถสร้างชีวิตความเป็นอยู่ของคนให้ดีขึ้น ซึ่งต่างจาก Smart City ที่ถูกสร้างภาพจำผ่านภาพยนตร์ซึ่งต้องมีหุ่นยนต์ หรือมีโดรนบินทั่วเมือง แต่สำหรับ ดร.นน เพียงจุดเล็กๆ อย่าง Data ก็เป็น Smart City ได้แค่นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สร้างชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนให้ดีขึ้นได้ ซึ่งในมุมมองของ ดร.นน มองว่าจุดหลักที่ Smart City จะเกิดได้พื้นฐานหนึ่งที่ต้องมีคือ Data ที่จะช่วยให้การพัฒนาสามารถทำน้อยเเต่ได้มากแค่ใช้ Data ให้เป็น
แล้วในมุมมองของนักออกแบบอย่างสถาปนิกจะมีภาพจำของ Smart City ในรูปแบบใด? อีกสองหนุ่มที่น่าสนใจด้วยประสบการณ์ของคนลงพื้นที่และทำงานกับชุมชน รวมถึงการมีผลงานด้านการเขียนในหัวข้อที่เกี่ยวกับ “การออกแบบพัฒนาเมือง” โดยเฉพาะอย่างคุณศานนท์และคุณชัชวาลย์ซึ่งทั้งสองได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมกับเครือข่ายชุมชนในกรุงเทพด้านการพัฒนาท้องถิ่นมามากมาย
ชัชวาลย์ : ด้วยความที่เป็นสถาปนิกเราอาจมองมากกว่าการที่ว่าเราจะพัฒนาเมืองด้วยเทคโนโลยีอะไร? แต่เราจะมองในด้านการดีไซน์ที่จับต้องได้อย่างการเข้าถึงของผู้คนด้วยการใช้ชีวิตร่วมกับงานดีไซน์นั้น สำหรับผมจึงมองว่า Smart City มี 2 มุมที่ต้องไปด้วยกัน คือ เทคโนโลยีและการดีไซน์ ซึ่งเกิดจากปัญหาที่ไม่ต้องมองในภาพใหญ่มากแค่มองในมุมบ้านๆ อย่างปัญหาในชีวิตก็สามารถสร้าง Smart Living เช่น กันสาด ที่เกิดจากปัญหาบ้านเก่าที่ต้องการบางสิ่งมาตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้ก็นับว่าเป็นการสร้างชีวิตที่ Smart และการหาปัญหาในพื้นที่เพื่อหาเเนวทางตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนในพื้นที่นั้นด้วย
คุณชัชวาลย์ได้ยกตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตของผู้คนเพื่อให้ง่ายต่อการนึกภาพตามซึ่งเราจะเห็นว่าเมื่อเวลาแต่ละยุคที่เปลี่ยนไปวิถีชีวิตคนก็ต้องเปลี่ยนตาม เช่น ห้องครัว ของคนสมัยก่อนที่ยังไม่มีเตาไฟฟ้า หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า การออกแบบห้องครัวจะเป็นรูปแบบที่รองรับการใช้ชีวิตที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า พอเวลาผ่านไปรูปแบบการดีไซน์ห้องครัวของคนในยุคปัจจุบันเปลี่ยนไปตามวิถีชีวิตและเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามาโดยจะถูกออกแบบเพื่อรองรับการใช้ชีวิตของคนและเครื่องครัวไฟฟ้า
เรื่องนี้ทำให้เราเห็นถึงอะไรบ้างนั้นคงชัดเจนอยู่แล้วเรื่องหนึ่งคือ การเปลี่ยนเเนวคิดวิธีการออกเเบบที่เกิดจากเตาไฟฟ้าซึ่งเป็นจุดเล็กๆ ในชีวิตที่สร้างให้เกิดการพัฒนาในเรื่องของการดีไซน์ จากการยกตัวอย่างจะเห็นว่าห้องครัวสมัยก่อนปรับเปลี่ยนดีไซน์ให้ทันสมัยขึ้นเพราะเตาไฟฟ้าที่เปรียบเหมือนปลั๊กอินจุดเริ่มให้เกิดสิ่งใหม่ ดังนั้นอีกสิ่งที่สำคัญต่อการพัฒนาเราต้องคิดอยู่เสมอว่า เราจะปรับเเละดีไซน์สิ่งที่มีอยู่อย่างเทคโนโลยี ให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตอย่างไร
ศานนท์ : เบื้องหลังแนวคิดผมอาจเกิดจากการที่ได้เรียนจบมาในสายวิศวะทำให้ผมชอบเทคโนโลยีอยู่เเล้ว แต่พอได้ทำงานร่วมกับชุมชนมาได้ระยะหนึ่งทำให้มุมมองของผมเปลี่ยนไปจากเดิมจนกลับมามองในมุมที่ว่าเทคโนโลยีเป็นเหมือนเครื่องมือหนึ่งเท่านั้น ทำให้ผมต้องย้อนกลับมามองถึงเป้าหมายก่อนว่าทำไมเราถึงต้องการ Smart City
บางคนอาจไม่ได้ต้องการความทันสมัยจากเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว พวกเขาอาจเเค่ต้องการบ้านที่น่าอยู่ หรือเมืองที่ทุกคนรู้สึกปลอดภัย เมืองที่ทุกคนรักและอยากดูเเลร่วมกัน ผมคิดว่าไม่ต้องคิดอะไรให้ไกลจากเรื่องพื้นฐานทั่วไปของคนเเค่สร้างพื้นฐานชีวิตให้ดี ก็เป็น Smart City ได้เพราะสุดท้ายโจทย์ใหญ่ที่ต้องแก้คือ ทำยังไงให้ในเเต่ละวันการใช้ชีวิตของคนดีขึ้น ผมจึงมองว่า
การพัฒนา Smart City เราต้องเข้าใจก่อนว่าปัญหาคืออะไร แล้วเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมให้ทันต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่นั้น
Smart City ในเมืองไทยกำลังจะเกิดขึ้นจริง ภายใต้เเนวคิดที่ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดีขึ้น ตอนนี้โครงการ depa Accelerator Program (ASEAN's First Smart City Accelerator) กำลังมองหาทีม Startup นักพัฒนาเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแข่งขันเพื่อเฟ้นหาไอเดียและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์เเนวคิด Smart City ในตอนนี้โครงการ depa Accelerator Program 2019 ได้เดินทางมาถึงวันเเห่งการตัดสินครั้สุดท้าย
มาร่วมเป็นกำลังใจและร่วมฟังการนำเสนอการพัฒนาเมืองอัจฉริยะของประเทศไทย ได้ที่งาน Online Demo Day ในวันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563 เวลา 13.00 - 16.30 น.
ลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรีได้ที่ https://www.hubbathailand.com/depa-accelerator พร้อมลุ้นรับของรางวัลสุดพิเศษระหว่างเข้าร่วมกิจกรรมในงานนี้ อย่ารอช้ากดเข้ามาลงทะเบียนร่วมงานฟรีได้ที่นี่เลย!
**ทีมงานจะส่งลิงค์เข้าร่วมดูการนำเสนอและกิจกรรม Online Networking ก่อนเวลาเริ่มงาน 1 ชั่วโมง
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด