
อีกหนึ่งหัวข้อในงาน Techsauce Global Summit 2025 ที่เหล่า Founder รอคอยในหัวข้อ Entering the Global Stage: Possibilities and Challenges from Multi-National Perspectives นำโดย Tony Hughes จาก Global Entrepreneur Programme, Martin Olczyk จาก Techstars, Anne Laitinen จาก Privaon และ ดร.สันติธาร เสถียรไทย จากธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการพูดคุยถึงแนวทางการขยายธุรกิจสู่ตลาดโลก

คำถามที่ Founder หลายคนสงสัยคือ เมื่อไหร่ที่เราควรเริ่มคิดเรื่อง Go Global? ทาง Martin Olczyk ให้คำตอบว่า การขยายธุรกิจเร็วเกินไป คือสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้สตาร์ทอัพล้มเหลว
ถ้าคุณยังต้องถามตัวเองว่ามี Product Market Fit แล้วหรือยัง แปลว่าคุณยังไม่มีมัน แต่เมื่อไหร่ที่คุณมี Product Market Fit แล้ว คุณจะรู้สึกได้เอง ลูกค้าจะโทรหาคุณ ส่งอีเมลหาคุณ ยอมจ่ายเงินให้คุณ นั่นคือสัญญาณว่าคุณอาจจะต้องปลดล็อกการเติบโตในขั้นต่อไป

ดร.สันติธาร เสถียรไทย เสริมว่า จริงๆ แล้ว ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการ Go Global อาจจะเร็วกว่าที่เราคิด เพราะไม่มีใครพร้อม 100% แต่สิ่งที่สำคัญคือการตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นบริษัทระดับภูมิภาคหรือระดับโลกตั้งแต่ต้น แล้วคอยถามตัวเองอยู่เสมอว่าเราเข้าใกล้เป้าหมายนั้นแล้วหรือยัง
ดร.สันติธาร แนะนำเพิ่มเติมว่า การทำธุรกิจนั้นให้เราคิดตั้งแต่แรกเริ่มว่า เรากำลังจะเป็นบริษัทระดับภูมิภาคหรือระดับโลก เราต้องการอะไร และทุกๆ หกเดือนหรือหนึ่งปี ให้กลับมาตรวจสอบว่าทำไมเรายังไม่พร้อม ?
เมื่อตัดสินใจจะขยายธุรกิจ Global แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ ‘การทำการบ้าน’ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ร่วมเสวนาทุกคนเน้นย้ำ

Anne Laitinen ผู้เชี่ยวชาญด้าน Data Protection ชี้ว่าโลกกำลังเข้าสู่ Compliance-First Economy ที่การทำความเข้าใจกฎระเบียบและข้อบังคับต่างๆ มีความสำคัญกว่า Product Market Fit เสียอีก โดยเธอบอกว่า เราต้องเข้าใจกรอบการทำงาน กฎหมาย และสภาพแวดล้อมทั้งหมดในประเทศที่เรากำลังจะเข้าไป โดยเฉพาะเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเช่น GDPR ในยุโรปที่บังคับใช้แม้ว่าบริษัทจะอยู่นอกพื้นที่ก็ตาม
Tony Hughes เสริมในมุมมองของวัฒนธรรมการทำงานว่า เราต้องทำตัวเหมือนเป็นนักมานุษยวิทยา ซึ่งหมายถึงต้องเรียนรู้ตลอดเวลาว่าคนในแต่ละพื้นที่ใช้ชีวิตอย่างไร ซื้อของอย่างไร และมีพฤติกรรมอย่างไร ซึ่งการได้คุยกับ Founder จากประเทศเดียวกันที่ไปบุกเบิกตลาดนั้นๆ มาก่อน จะให้บทเรียนได้ดีกว่าคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเสียอีก
นอกจากนี้ เขาได้ยกตัวอย่างให้เห็นภาพผ่านเกร็ดสนุกๆ ว่า "ในอังกฤษ เราอาจจะต้องพาคุณไปผับอย่างน้อย 3 ครั้งก่อนที่เราจะเชื่อใจคุณ" สะท้อนให้เห็นว่าความไว้เนื้อเชื่อใจทางธุรกิจในแต่ละที่ไม่เหมือนกัน
ดร.สันติธาร บอกว่า การเลือกพาร์ทเนอร์ท้องถิ่นในประเทศที่เข้าไปทำตลาด คือการตัดสินใจที่อาจชี้เป็นชี้ตายให้กับบริษัทได้เลย พาร์ทเนอร์ที่ใช่จะช่วยให้เราเข้าใจบริบทท้องถื่น และเข้าถึงตลาดได้เร็วขึ้น แต่หากเลือกผิดมันจะกลายเป็นเหมือนซอมบี้ที่ตามหลอกหลอนธุรกิจของเราไปอีกนาน

ในทำนองเดียวกัน Tony Hughes กล่าวถึงความผิดพลาดคลาสสิกของหลายบริษัทว่า พวกเขาจ้างทีมงาน Local ที่เก่งมากๆ แต่กลับไม่ยอมฟังคำแนะนำของทีมนั้น และยังคงพยายามใช้โมเดลความสำเร็จเดิมๆ จากประเทศตัวเองซึ่งมักจะลงเอยด้วยความล้มเหลว
การทำงานไม่ได้จบลงเมื่อคุณเปิดตัวในตลาดใหม่ แต่มันเพิ่งเริ่มต้น โดย Martin เน้นย้ำว่า เราต้องอย่าหยุดทดลอง อย่าหยุดปรับเปลี่ยน อย่าหยุดเรียนรู้ เพราะสิ่งที่เคยทำสำเร็จในเวียดนามอาจใช้ไม่ได้ผลในอินโดนีเซีย เราต้องกลับไปคุยกับลูกค้าและเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
ดร.สันติธาร แนะนำว่า สิ่งที่บริษัทจะนำไปสู่ตลาดโลกอาจไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ แต่เป็นความสามารถพิเศษ หรือ Superpower ขององค์กร บางบริษัทอาจจะเก่งเรื่องการเข้าซื้อกิจการ (M&A) บางบริษัทอาจจะเก่งเรื่องการเรียนรู้พฤติกรรมลูกค้าอย่างรวดเร็ว การเข้าใจจุดนี้จะทำให้วางกลยุทธ์ได้เฉียบคมขึ้น
และอีกหนึ่งทักษะที่สำคัญที่สุดที่ ดร.สันติธาร ทิ้งท้ายไว้ก็คือ การเรียนรู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะเลิก บางครั้งแม้จะทำการบ้านมาดีแค่ไหน ตลาดก็อาจไม่เป็นใจ หรือพาร์ทเนอร์อาจไม่ใช่ การยอมรับความจริง ตัดสินใจ Cut Loss แล้วถอยออกมาเพื่อไปเริ่มต้นใหม่ที่อื่น คือความกล้าหาญและเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การเตบโตที่ยั่งยืน
อ้างอิง : สรุปจากเซสชั่น Entering the Global Stage: Possibilities and Challenges from Multi-National Perspectives ในงาน Techsauce Global Summit 2025
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด