ปี 1992 ห้องบรรยายที่ MIT Sloan School of Management เต็มไปด้วยนักศึกษาและผู้ฟังที่ตั้งใจจะมาฟัง Steve Jobs บรรยาย ใช่ช่วงเวลานั้นเขาคือชายหนุ่มวัยเพียง 37 ปี ที่เพิ่งผ่านการถูกบังคับให้ออกจาก Apple บริษัทที่เขาสร้างมากับมือ และตอนนี้กำลังเดินหน้าอยู่กับบริษัทใหม่ชื่อว่า NeXT
ในห้องนั้น Jobs ไม่ได้อยู่ในฐานะไอคอนระดับโลก อย่างที่เราคุ้นเคยในยุค iPhone แต่เป็นผู้นำที่เพิ่งเจ็บปวดจากการถูกผลักออกจากบริษัทตัวเอง เป็นผู้ชายที่ยังคงค้นหาคำตอบของเส้นทางชีวิตและการทำงาน แต่ในเวลาเดียวกันก็มีแววตาของคนที่เชื่อมั่นในความคิดและวิสัยทัศน์ของตัวเอง
แล้วเสียงของนักศึกษาคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาว่า
“คุณได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับการเป็นผู้นำคน จากช่วงเวลาที่คุณทำงานใน Apple?”
คำถามเรียบง่าย ชัดเจน และทุกคนในห้องเข้าใจทันทีว่าหมายถึงอะไร แต่ Jobs กลับไม่ตอบทันที เขานิ่ง เอามือขึ้นมาประกบและครุ่นคิด
5 วินาที… 10 วินาที… 15 วินาที… ความเงียบในห้องเริ่มหนักขึ้นจนสัมผัสได้ นักศึกษาบางคนอาจคิดว่าเขากำลังอึดอัด หรืออาจกำลังพยายามหาทางเลี่ยงคำตอบ แต่ในวินาทีที่ 18 Jobs เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย และพูดว่า Good question

Jobs บอกว่า สิ่งที่เขาเรียนรู้มากที่สุดจากการทำงาน ไม่ใช่วิธีสร้างคอมพิวเตอร์ แต่คือวิธีสร้างคน
เขายอมรับว่าในช่วงแรกที่ทำ Apple เขาเป็นคนที่ ใจร้อน ถ้าเห็นใครทำพลาด เขาจะรีบเข้าไปแก้ไขด้วยตัวเองทันที เพราะอยากให้งานออกมาดีที่สุด แต่เวลาสอนเขาว่า การทำแบบนั้นไม่ช่วยให้ทีมแข็งแรงเลย มันทำให้คนในทีมไม่เคยได้เรียนรู้จากความผิดพลาด
เขาจึงเริ่มเปลี่ยน จากการรีบแก้ปัญหา มาเป็นการปล่อยให้ทีมล้ม ลุก และเรียนรู้เอง เขาเองก็ยอมเจ็บ ยอมเสียเวลา เพื่อให้ทีมได้โตขึ้นจริง Jobs สรุปออกมาสั้นๆ และชัดเจนว่า
เราไม่ได้สร้างทีมเพื่อให้งานสำเร็จแค่ปีนี้ เรากำลังสร้างทีมที่จะแข็งแรงไปอีกสิบปีข้างหน้า
ภาพที่นักศึกษาหลายร้อยคนได้เห็นในวันนั้น ไม่ใช่เพียงชายอัจฉริยะที่สร้างคอมพิวเตอร์จากโรงรถ แต่คือผู้นำที่เคยล้ม เคยถูกขับไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเองสร้าง และใช้บาดแผลเหล่านั้นมาแปรเปลี่ยนเป็นบทเรียน
ความเงียบ 18 วินาทีของ Steve Jobs จึงไม่ใช่เพราะเขาไม่รู้คำตอบ แต่เพราะเขาอยากจะตอบให้จริง และตรงแก่นที่สุด คำตอบที่ไม่ได้เกิดจากสัญชาตญาณในเสี้ยววินาที แต่จากประสบการณ์ที่สั่งสมมาตลอดชีวิตการทำงานของเขา
ตลอด 72 นาทีบนเวที Jobs เปิดเผยตัวตนในแบบตรงไปตรงมา ทั้งการวิพากษ์วงการที่เขาไม่ชอบ ประสบการณ์เจ็บปวดจากการถูกไล่ออกจาก Apple และมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับการสร้างทีมที่ดี
Jobs เริ่มด้วยการถามผู้ฟังว่าใครเป็นที่ปรึกษาบ้าง และเมื่อรู้ว่ามีหลายคน เขาก็พูดตรงๆ ว่า…เขาไม่ชอบที่ปรึกษาเลย เหตุผลคือ ที่ปรึกษามักจะบินมาลงในโครงการ แนะนำวิธีการ แล้วก็จากไป พวกเขาไม่อยู่พอที่จะเห็นว่าสิ่งที่เสนอสำเร็จหรือล้มเหลว และที่สำคัญไม่ได้เจ็บตัวกับความผิดพลาดนั้นจริงๆ
เขาเปรียบเทียบไว้อย่างเจ็บแสบว่า การเป็นที่ปรึกษาเหมือนการมีรูปกล้วยแปะบนผนัง คุณรู้ว่ามันคือกล้วย แต่คุณไม่เคยได้ชิมรสชาติของมันจริงๆ
ช่วงเวลาที่ Jobs พูดอยู่นั้น เขาเป็นอดีตผู้ก่อตั้งของ Apple และยอมรับตรงๆ ว่ารู้สึกแปลกที่ได้มองบริษัทของตัวเองเดินต่อโดยไม่มีเขา เขาบอกว่า Apple กำลังจะเจอทางแยกสำคัญ ว่าจะหันไปทางสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค หรือจะกลายเป็นบริษัทคอมพิวเตอร์ที่ทรงพลัง
เขาเว้นช่วง แล้วพูดเรียบๆ ว่า “ใครจะรู้ว่าถ้าเรื่องทั้งหมดนี้ไม่เกิดขึ้น มันจะเป็นยังไง” ซึ่ง 6 ปีหลังจากนั้น Apple ก็ซื้อ NeXT กลับมา ระบบปฏิบัติการ NeXTSTEP กลายเป็นรากฐานของ Mac OS X และ Jobs ก็กลับไปนั่งเก้าอี้ CEO อีกครั้ง ถือเป็นอีกหนึ่งในเรื่องราวที่ไม่มีใครคาดคิดในวันที่เขาพูดประโยคนี้
Jobs เล่าเรื่องการจ้างงานด้วยน้ำเสียงกึ่งเหนื่อยกึ่งภูมิใจ เขาบอกว่าคนที่เก่งจริงๆ ไม่เคยมาแบบง่ายๆ เขาต้องใช้เวลาตามจีบ บางครั้งนานถึงปีครึ่งกว่าจะดึงออกมาจากบริษัทอย่าง HP ได้
“มันยากเสมอ แต่ทุกครั้งก็คุ้มค่า” นี่คือต้นแบบของ Jobs ในฐานะนักสร้างทีม มองหาคนที่ใช่ ดีกว่าจ้างใครก็ได้มาอุดช่องว่าง
การบรรยายของ Steve Jobs ในวันนั้นจบลงไปแล้วกว่า 30 ปี แต่สิ่งที่เขาพูดยังคงทันสมัยจนน่าประหลาด เช่น
ทั้งหมดนี้คือปรัชญาที่ไม่เพียงทำให้เขาพา Apple กลับมาจากขอบเหว แต่ยังสร้างผลิตภัณฑ์ที่เปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลก
บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่ Steve Jobs ยังคงเป็นหนึ่งในบุคคลที่โลกธุรกิจและเทคโนโลยียังคงหยิบมาศึกษาและเรียนรู้ ไม่ใช่เพราะเขาสร้าง iPhone แต่เพราะเขาสร้างวิธีคิดที่ยังคงสดใหม่เสมอ
อ้างอิง: mitsloan.mit.edu
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด