ไทยควรวางตัวอย่างไรใน TECH WAR แล้วจบแบบไหนถึงจะดีกับทุกฝ่าย? | Techsauce

ไทยควรวางตัวอย่างไรใน TECH WAR แล้วจบแบบไหนถึงจะดีกับทุกฝ่าย?

ความขัดแย้งกันระหว่างประเทศผู้นำโลกอย่างจีนกับสหรัฐอเมริกาส่งผลกระทบต่อประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ทั้งด้านความสัมพันธ์ ด้านเศรษฐกิจ งานวิจัย ระบบ Supply Chain โดยเฉพาะด้านระบบนิเวศทางเทคโนโลยีของประเทศที่เป็นคู่ค้าและต้องพึ่งพาทั้งสองประเทศนี้ สาเหตุหลักน่าจะมาจากสหรัฐอเมริกา ไม่เชื่อใจในเทคโนโลยีของจีน โดยคิดว่าอาจมีอะไรซ่อนอยู่ ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของชาติ ประกอบกับมีหลายเหตุการณ์ที่บ่งชี้ว่าจีนพยายามล้วงความลับทางการค้าและนวัตกรรมจากสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ทางจีนเองก็มองหาโอกาสที่จะแสดงความเป็นประเทศผู้นำในเวทีโลก ในบทความนี้เราจะมายกตัวอย่างเหตุการณ์ Tech War ของทั้งสองประเทศที่ปะทะชนกันหลายด้าน โดยที่ต่างฝ่ายต่างมีไพ่ที่เป็นต่อกันอยู่

1. ส่วนที่เป็นระดับรากฐานด้านสารกึ่งตัวนำ (semiconductor)

สหรัฐอเมริกาเริ่มตัด supplier ที่มาจากประเทศจีน เพราะอเมริกามีความล้ำหน้าด้านการใช้ Silicon ในการผลิต Semiconductor Chip มากกว่าจีน โดยเฉพาะการแปรรูปชิป (Fabrication) ที่ระดับ 7-10 นิวตันเมตร (ที่เพิ่มความจุของ Transistor ปริมาณสูง) และต้องการใช้หมากนี้ในการชะลอความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ของจีนด้วย

ในขณะที่บริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิต Silicon Chip ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 48% ก็ได้มีนโยบายคว่ำบาตร หยุดการผลิตให้แก่บริษัท Huawei ตามคำของสหรัฐอเมริกา เพราะเครื่องจักรที่ทางบริษัทใช้อยู่นั้นล้วนนำเข้ามาจากสหรัฐอเมริกา

ล่าสุดบริษัท NVDIA ในสหรัฐอเมริกาที่ผลิต Processor สำหรับงาน graphic และ AI กำลังจะซื้อบริษัท ARM ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นบริษัทที่ออกแบบ Processor ที่มีประสิทธิภาพในด้านพลังงาน ซึ่งเหมาะกับ Mobile และ license บริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก รวมทั้งจีน ซึ่ง ARM มีบริษัทร่วมทุนในจีนที่อาจเป็นประเด็นว่า ผู้ควบคุมดูแลกฎของจีนจะยอมให้ NVDIA ซื้อ ARM หรือไม่ 

อีกสิ่งที่สร้างความลำบากให้กับบริษัทผลิตชิปในอเมริกาก็คือ จีนเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่ช่วยสร้างรายได้ให้บริษัทชิปเหล่านี้ หากรัฐบาลออกมาตรการให้บริษัทเหล่านี้งดการขายให้จีน ก็จะทำให้รายได้ลดลงไป กระทบกับงบวิจัยซึ่งกลายเป็นการลดความสามารถในการแข่งขันของอเมริกาในอนาคต

ในเชิงตลาดวัตถุดิบ (Raw Material) จีนเป็นผู้ผลิต Silicon ที่ใหญ่ที่สุดในโลก รวมทั้ง Gallium ซึ่งจะเป็นวัตถุดิบสำคัญในอนาคตสำหรับการผลิต Gallium Nitride Chip ซึ่งเป็นชิปแบบใหม่ที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีการสูญเสียความร้อนต่ำ เหมาะกับการใช้งานกับสถานีฐาน 5G การครอบครองตลาดวัตถุดิบสำคัญนี้ ถือเป็นข้อได้เปรียบของจีน ซึ่งส่งผลต่อปัญหาด้านความมั่นคงที่สหรัฐอเมริกากำลังจับตามอง

2. ระบบโครงสร้างพื้นฐาน 5G

5G เป็นเครือข่ายความเร็วสูงที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของเทคโนโลยีต่าง ๆ ในอนาคต เช่น Self-Driving Car และ IoT sensor ที่ใช้กับ Smart City

ต้องยอมรับว่า ในด้านโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมของจีนโดยเฉพาะ Huawei มีความก้าวหน้าและความพร้อมของระบบ 5G มากกว่าคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็น Samsung (เกาหลีใต้) Nokia (ฟินแลนด์) Ericsson (สวีเดน) และ ZTE (จีน) รวมทั้งมีระบบเสาอากาศ (antennas) แบบ massive multiple-input and multiple-output (MIMO) ที่มีประสิทธิภาพทำให้บริษัทสามารถติดตั้งได้รวดเร็ว บวกกับตลาดภายในของจีนที่มีขนาดใหญ่ มีส่วนช่วยทำให้การขยายฐานเครือข่าย 5G ทำได้อย่างกว้างขวาง ครอบคลุมพื้นที่ได้มากกว่าประเทศอื่น ๆ รวมกันเสียอีก ในขณะที่สหรัฐอเมริกาที่ไม่ได้มีเทคโนโลยี 5G เป็นของตัวเอง มีเพียงบริษัท Qualcomm ที่เป็นผู้ผลิตชิปทางด้านการสื่อสารเท่านั้น ทำให้การพัฒนาระบบ 5G ยังคงต้องพึ่งพาระบบของคนอื่นอยู่ เมื่อมองในมุมนี้จะเห็นได้ว่าอเมริกามีความเสียเปรียบอยู่มาก

3. Platform และ AI

การที่จีนปิดไม่ให้ใช้ platform ต่างชาติ เนื่องจากต้องการควบคุมข่าวสารข้อมูลที่เข้าออกประเทศ ทำให้จีนต้องพึ่งพาใช้เทคโนโลยีของตนเองภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาล จีนเองก็มี platform ที่มีประสิทธิภาพเทียบเคียงได้กับสหรัฐอเมริกา เช่น Baidu (Search), Alibaba (E-Commerce) และ WeChat/Tencent (Social Media) ซึ่งข้อได้เปรียบเรื่องตลาดในประเทศที่มีขนาดใหญ่ เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ข้อมูลจำนวนมหาศาลจากประชากรในการนำไปสอน Machine Learning และสร้าง model ให้มีความแม่นยำสูง ด้วยปริมาณข้อมูลที่จีนมีมากกว่า พร้อมการทำงานแบบ 996 (9 โมงเช้าถึง 9 โมงเย็น 6 วัน) ทำให้การพัฒนางาน รวมทั้งงานวิจัยด้าน AI ของจีนไปได้อย่างรวดเร็วมาก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ความสำเร็จของบริษัท TikTok ที่มีต้นกำเนิดจากจีนที่มี AI Algorithm ที่เลือก content ได้ถูกใจคนใช้งาน ทำให้ยอด engagement สูงลิ่ว และเป็นเป้าหมายของบริษัทใหญ่ในสหรัฐอเมริกาเช่น Oracle หรือ Walmart ที่อยากจะเข้าถือหุ้นหรือร่วมลงทุนเพื่อนำไปใช้ด้านการตลาดในอนาคต แต่จีนกลับมองว่า การที่สหรัฐอเมริกาจะเข้ามามีส่วนร่วมเป็นเจ้าของบริษัท อาจส่งผลให้สหรัฐอเมริกามีสิทธิเข้ามาใช้ทรัพย์สินทางปัญญาของจีน ทางจีนจึงพยายามจะแก้ด้วยการกำหนด Export Control ประเด็นนี้ต้องคอยติดตามต่อไปว่าจะปิดดีลกันอย่างไร

ส่วนความก้าวหน้าด้าน AI ที่นำไปสู่ระบบอัตโนมัติ (automation) ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับภาคส่วนต่าง ๆ โดยเฉพาะการใช้เป็นองค์ประกอบของอาวุธสงคราม ก็เป็นส่วนหนึ่งที่น่าจับตามองทิศทางของทั้งสองประเทศนี้ต่อไป

อนาคตของความสัมพันธ์นี้อาจเป็นไปได้หลายอย่าง หนึ่งเลยคือ สงครามนี้ยังคงมีต่อไปเรื่อย ๆ เพราะนี่เป็นสัญลักษณ์ของการแสดงความเป็นผู้นำโลก จีนและอเมริกาคงพยายามหาทางอยู่กันอย่างลิ้นกับฟัน ที่มีทั้งความร่วมมือกันและปะทะกันในบางเรื่อง เพื่อคงความเป็นผู้นำโลกทั้งคู่ ส่วนในขณะที่อเมริกายังคงล้มลุกคลุกคลานจากพิษ COVID-19 และฟื้นตัวจากความไม่แน่นอนของทรัมป์ ถ้าหากจีนสามารถพลิกโอกาสในช่วงนี้และคลายความกดดันจากการลดความร่วมมือกับอเมริกา หันมาเน้นสร้างความสามารถและใช้ประโยชน์จากตลาดภายในประเทศ บวกกับนโยบาย Made in China 2025 ผมว่าจีนมีโอกาสที่จะมีความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแรงเทียบเท่าหรือมากกว่าอเมริกาได้ในเวทีโลก จีนอาจจะได้เปรียบในการมีโครงสร้างพื้นฐาน 5G AI Platform ที่ล้ำหน้า ที่ขยายการใช้งานไปกับประเทศที่กำลังพัฒนาในแถบเอเชียและแอฟริกา ไปสู่การสร้างอำนาจครอบครองทางเทคโนโลยี ทำให้การย้ายค่ายไปใช้ของที่ไม่ใช่ของจีนยากขึ้น

แล้วคำถามที่ว่า ประเทศไทยควรวางตัวอย่างไร? จีนมีอิทธิพลอย่างมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากประเทศจะอยู่ใกล้กันแล้ว ยังมีการลงทุนในภูมิภาคนี้ทั้งไทย ลาว กัมพูชา รวมทั้งการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง โทรคมนาคม 5G หรือการนำเอา Platform E-Commerce หรือ Data Center เข้ามาใช้ในอาเซียน สิ่งที่เราควรทำคือ ระวังถูกครอบงำหรือผูกขาดทางเทคโนโลยีจากค่ายใดค่ายหนึ่ง เราควรเรียนรู้จากเหตุการณ์ของทั้งสองประเทศนี้ เพื่อที่วันหนึ่งเราจะสามารถพัฒนาเทคโนโลยีของเราเองได้ เพราะทุกวันนี้ การเป็นเจ้าของ Technology Platform หรือระบบโครงสร้างพื้นฐาน แปลว่าเราเป็นเจ้าของข้อมูลมหาศาลที่จะนำไปใช้ประโยชน์ต่อยอดได้อีกมากมาย ลองคิดดูว่า ถ้าต่างประเทศได้กลายมาเป็นเจ้าของทุก platform ที่เราใช้ในไทย หมายความว่า เราจะตกเป็นเมืองขึ้นทางเทคโนโลยีของประเทศนั้น ๆ เลยก็ว่าได้ แล้วเราจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ อ.อาร์ม ตั้งนิรันดร ผู้เชี่ยวชาญด้านประเทศจีน ที่ได้ช่วยอ่านและให้คำแนะนำดี ๆ ด้วยครับ

บทความโดย คุณจรัล งามวิโรจน์เจริญ Chief Data Scientist and VP of Data Innovation Lab บริษัท เซอร์ทิส จำกัด

References:

 

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

Founder Model วิถีผู้นำแบบ Brian Chesky CEO เบื้องหลังความสำเร็จของ Airbnb

Founder Mode เป็นแนวทางการบริหารที่กำลังได้รับความสนใจในวงการสตาร์ทอัพ โดยแนวคิดนี้ได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวางจาก Brian Chesky, CEO ผู้พา Airbnb เติบโตจนกลายเป็นธุรกิจระดับโลก ด้...

Responsive image

ไขความลับ Growth Hacking: บทเรียนจาก Spotify สู่ธุรกิจยุคใหม่

ในโลกธุรกิจที่การแข่งขันดุเดือดและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเติบโตอย่างรวดเร็วและยั่งยืนคือสิ่งที่ทุกธุรกิจต่างใฝ่ฝัน Growth Hacking กลายเป็นกุญแจสำคัญที่ไขประตูสู่ความสำเร็จ ด้วย...

Responsive image

เปิดปรัชญาแห่งความเป็นผู้นำของ Steve Jobs

Steve Jobs ผู้ร่วมก่อตั้ง Apple ที่โด่งดัง อาจไม่ใช่เจ้านายในฝันของใครหลายคน แต่ปรัชญาการบริหารของเขาพิสูจน์แล้วว่าทรงพลังและนำไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ คำพูดที่สะท้อนแนวคิดนี้ได้...