ฉีกตำราสู้พิษเศรษฐกิจจาก COVID-19 กับ 'ทิม พิธา' ประเทศไทยควรหาโอกาสอย่างไร ? | Techsauce

ฉีกตำราสู้พิษเศรษฐกิจจาก COVID-19 กับ 'ทิม พิธา' ประเทศไทยควรหาโอกาสอย่างไร ?

"เมื่อช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจมหภาคและ GDP เพียงอย่างเดียวไม่สามารถบอกถึงสิ่งที่อยู่ในหัวใจของประชาชนได้ว่าพวกเขาอดอยากขนาดไหน แต่ต้องตีโจทย์ให้แตกว่าเศรษฐกิจจะมีทิศทางเป็นอย่างไรต่อไป และสิ่งที่ต้องรีบแก้ไขคืออะไรจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น"

ในงาน Techsauce Virtual Conference 2020 เราได้เชิญคุณทิม - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะสภาผู้แทนราษฎร ที่เป็นหนึ่งในกระบอกเสียงของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ มาพูดคุยมุมมองผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ซึ่งถือเป็นวิกฤตระดับโลก ที่จะต้องมองทั้งในภาพใหญ่ และภาพย่อย หรือตั้งแต่ระดับมหภาค แล้วย่อยลงมาจนถึงระดับจุลภาค เพื่อให้เห็นถึงปัญหาในกลุ่มเปราะบางของประเทศไทย ที่กำลังรอการเยียวยาจากภาครัฐเช่นกัน รวมไปถึงแนวทางหรือนโยบายที่ภาครัฐควรดำเนินการเพื่อหาโอกาสท่ามกลางวิกฤติที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยไม่เกิดภาวะถดถอยในระยะยาว 

ติดตามชม session  ย้อนหลังฉบับเต็มได้ที่นี่ 

วิกฤตในปัจจุบันมีความร้ายแรงเทียบเท่ากับในช่วง Great Depression โดยเทียบได้จากข้อมูลของสหรัฐ

คุณพิธา กล่าวว่า สถานการณ์ในมิติของเศรษฐกิจทุกวันนี้ สิ่งที่มักจะเห็นกันบ่อย คือ การเปรียบเทียบกับ Great Depression ในปี 1930 โดย ณ ตอนนั้น อัตราการว่างงานอยู่ที่ 3.2 % และเพิ่มไปเป็น 25% ภายใน 4 ปี แต่ปัจจุบันนี้อัตราการว่างงานอยู่ที่ 3.5% และเพิ่มเป็น 18% ใน 4 สัปดาห์ นั่นหมายความว่าหากเอาคนสหรัฐอเมริกามายืนเรียงกัน 5 คน จะมี 1 คนที่ไม่มีงานทำ โดยการเกิด Great Depression ในสมัยนั้นจะมีวิกฤติประกอบกัน 3 เหตุการณ์ 

หนึ่ง  ฟองสบู่การเงินด้วย สอง สงครามการค้าที่สหรัฐเป็นผู้เริ่ม และสาม ภัยแล้ง แต่ในวิกฤต COVID-19 นี้แค่ภายใน 4 สัปดาห์ในเดือนเมษายน 2020 อัตราการว่างงานพุ่งสูงอย่างรวดเร็วขนาดนี้ ถือเป็นวิกฤตที่ร้ายแรง ซึ่งแยกกันไม่ออกแล้วระหว่างวิกฤตทางสาธารณสุข  และวิกฤตทางเศรษฐศาสตร์ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่มีภาวะผู้นำในระบบเศรษฐกิจโลกตลอดเวลา  เมื่อเจอสถานการณ์เช่นนี้ก็ย่อมส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจทั่วโลกหวั่นไหวไปด้วย

เศรษฐกิจของทั้งโลกเผชิญวิกฤติทั้งหมด จีนเผย GDP ไตรมาสแรกติดลบถึง 6.8% 

การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ทำให้ทั่วโลกเผชิญกับภาวะวิกฤตทั้งหมด โดยปัจจุบันมียอดผู้ติดเชื้อสูงกว่า 2 ล้านคนแล้ว ซึ่งในแง่ของเศรษฐกิจก็มีความรุนแรงที่สุดในรอบร้อยปี โดยจีนได้เปิดเผยตัวเลข GDP ไตรมาสแรกติดลบกว่า 6.8% ญี่ปุ่นคาดการณ์ว่า จะติดลบกว่า 4%  เยอรมันคาดว่าจะติดลบกว่า 1.9%  

วิกฤต COVID-19 จะส่งผลต่อ GDP ไทยในระดับเดียวกับวิกฤตต้มยำกุ้ง 

สำหรับประเทศไทยแล้ว วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นมักจะมีการนำไปเทียบกับวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ซึ่งเป็นวิกฤตที่เกี่ยวข้องกับการเงิน เฉพาะฝั่งเอเชีย โดยตอนนั้นมีสถาบันการเงินถูกปิดไปกว่า 50 สถาบัน ซึ่งจะเป็นเหตุการณ์ที่หนักหนาสำหรับประเทศไทย และอินโดนีเซีย แต่วิกฤตตอนนั้นเป็นของคนรวย ซึ่ง GDP ของไทยเมื่อปี 2541 ติดลบกว่า 7.6% 

แต่แล้วเราก็ใช้เวลาในการแก้ปัญหาไม่นาน จะเห็นได้ว่าในปี 2542 สามารถรีเทิร์นกลับมา เป็นรูปตัว  V ตัวแรกในเศรษฐกิจมหาภาคของไทย หลังจากนั้นในปี 2552 ก็มาถึงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งเป็นวิกฤตการเงินที่จำกัดอยู่ในวงทางฝั่งสหรัฐอเมริกา  แต่ก็ได้มีการมีการใช้งบประมานจำนวนมากในการทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing :QE) ที่อัดกลับเข้าไป ก็เลยทำให้กลับมาเป็นตัว V ที่สองของประเทศไทยได้

ต่อมาก็มาวิกฤตที่สามของไทย คือ น้ำท่วมเมื่อปี 2554  โดยธุรกิจที่ยากลำบากมาก ก็คือกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ที่ไม่สามารถผลิตได้ก็จะมีปัญหาตรงส่วน supply chain กับต่างประเทศ แต่เราก็ใช้ระยะเวลาไม่นานก็สามารถกระดอนเป็นตัว V กลับมาได้อีกครั้ง

Hockey Stick  Economy หรือ Boomerang Economy ?

เมื่อไม่นานมานี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คาดว่า GDP ของไทยปีนี้จะติดลบ 5.3%  ซึ่งใกล้เคียงกับวิกฤตต้มยำกุ้ง โดยก่อนหน้านี้เป็นเวลา 70 เดือนมาแล้ว ทางด้านความมั่นใจของผู้บริโภค หรือนักลงทุนต่างก็อยู่ในระดับที่แย่อยู่แล้ว และในปีนี้ยังมาเจอวิกฤติโรคระบาดที่เป็น Global Pandemic อีกที่ส่งผลกระทบทั่วโลก และทุกกลุ่มอุตสาหกรรม

สำหรับการคาดการณ์ของ กนง. เราสามารถถกเถียงกันได้ว่าโอกาสที่มันจะเป็นแบบนี้เป็นไปได้อย่างไร แล้วปัจจัยที่เราสามารถจะควบคุมได้มีมากน้อยแค่ไหน ?

ดังนั้นเราต้องรู้ว่าภายใน GDP ของเรามันมีปัจจัยจากอะไรบ้างที่บอกได้ว่าจะเป็น Boomerang Economy การที่เศรษฐกิจตกต่ำลงไปแล้วสามารถกลับมาเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้เป็นกราฟรูปตัว V หรือว่า Hockey Stick  Economy การที่เศรษฐกิจตกต่ำลงไปแล้วมีการฟื้นตัวในระดับต่ำและซบเซาระยะยาว

เมื่อมีโรคระบาดเกิดขึ้น ทำให้ประเทศไทยต้องมีการ Lockdown ในระดับเมือง ซึ่งแน่นอนว่า ไม่สามารถที่จะมีการเคลื่อนย้ายของคน การบริการของสินค้าได้ ความรู้สึกของ political economy ตอนนี้คือ anti-globalization มากขึ้น  

เมื่อเป็นเช่นนี้แน่นอนว่าปัจจัยหลักที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจของเรา ขึ้นอยู่กับ 2T ได้แก่ Trade และ Tourism โดยส่งออกมูลค่าอยู่ที่ 7.5 ล้านล้าน ท่องเที่ยวมูลค่าอยู่ที่ 2 ล้านล้าน คาดการณ์เป็นตัวเลขก็อยู่ที่ประมาณ 10 ล้านล้าน คิดเป็น 60% ของ GDP ไทยทั้งหมดที่มีอยู่มูลค่า 17 ล้านล้าน 

จะเห็นได้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยส่วนใหญ่ไม่ได้เป็น Domestic economy แต่เป็นการพึ่งพาโลกภายนอก หรือเป็น International economy โดยเฉพาะการส่งออกและการท่องเที่ยว ถ้าหาก 2 ปัจจัยดังกล่าวไม่ได้รับการแก้ไขอย่างตรงเวลาและพอเหมาะ คาดว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะเป็นแบบ Hockey Stick

โอกาสของประเทศไทยในฐานะ 'ครัวของโลก'

คุณพิธา กล่าวต่อไปว่า เมื่อมีวิกฤติ COVID-19 เกิดขึ้นการค้าขายระหว่างประเทศต้องหยุดชะงักลง โดยเมื่อ  100 วันที่ผ่านมา ตัวเลขลดลงอยู่ที่ 32% และทางองค์การสหประชาชาติ (United Nations : UN)  องค์การค้าโลก (World Trade Organization :WTO) หรือ ข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (North American Free Trade Agreement : NAFTA) ต่างก็ออกมาบอกว่า 1 ใน 3 ของการค้าขายทั่วโลกจะชะงักลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าฟุ่มเฟือยที่เกี่ยวกับ Auto Electronic ต่างก็หยุดชะงักหมด แต่ในขณะเดียวกันสิ่งที่กลับกลายเป็นที่ต้องการของทั่วโลกตอนนี้ คือ อาหาร

ยกตัวอย่าง เมื่อวันที่ 15 เมษายน ชานชุนซิง รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์และการท่องเที่ยวของสิงคโปร์ ออกมาประกาศว่าสิงคโปร์ ต้อนรับอาหารปลอดภัยจากประเทศนิวซีแลนด์ ขอให้ประชาชนคนสิงโปร์ ไว้วางใจว่าสิงคโปร์จะมีความมั่นคงทางอาหารจากประเทศนี้ เพราะสิงคโปร์ได้มีการพูดคุยกับรัฐบาลนิวซีแลนด์ไปเมื่อปีที่แล้ว  และยังจะมีการพูดคุยกับ ออสเตรเลีย บรูไน  แคนาดา ชิลี ลาว พม่า และอุรุกกวัย ว่าจะไม่มีการขึ้นภาษี และทำมาค้าขาย ส่งออกนำเข้ากันอย่างมีมนุษยธรรม แล้วก็ทำทุกทางที่ให้สินค้าที่เข้ามาในกลุ่มประเทศนี้มีความปลอดภัย  

จากตัวอย่างของเหตุการณ์ข้างต้นจะเห็นได้ว่าตรงนี้ถือเป็น New Normal ทางการค้าระหว่างประเทศ เพราะปกติถ้าเป็นเรื่องเหล่านี้ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องนึกถึงเขตการค้าเสรี (Free Trade Area : FTA) NAFTA และข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) แต่ตอนนี้ประเทศเหล่านี้ ต่างก็มีการตกลงกันเองถึงการดูแลประชาชน และความมั่นคงทางอาหารของประเทศเขาผ่านทางการค้าระหว่างประเทศ แม้ว่า global trade จะหายไป 32% แต่สิ่งที่เป็นปัจจัย 4 มันหยุดไม่ได้ โดยเฉพาะความมั่นคงทางอาหาร

สิ่งที่น่าสงสัย และตั้งคำถามต่อไปคือ ประเทศไทยอยู่ตรงไหน ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ‘ไทยเป็นครัวของโลก’ 

'เงินทอง คือ มายา ข้าวปลา คือ ของจริง' New Normal ของ Global Trade

คุณพิธา เสนอว่า นี่เป็นโอกาสที่เราจะสามารถใช้ประโยชน์จากตรงนี้ในการดูแลเกษตรกรของเรา แล้วก็ทำให้ Trade ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่หายไปมาก  และมีโอกาสที่จะทำให้  GDP ของเราย้อนกลับมาได้ เพราะช่วงนี้มันเป็นวิกฤตที่เป็นโอกาสได้ โดยเฉพาะทางด้านการเกษตร

ในช่วงเวลาเช่นนี้เป็นโอกาสที่ภาครัฐจะต้องสนับสนุนให้เกิดการเสริมศักยภาพแรงงาน  โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวที่มีการเข้าถึงเทคโนโลยีได้ มีความเข้าใจใน E-commerce หรือบางคนอาจจะมีความรู้ความเข้าใจด้านการบริหารจัดการ ด้านอุตสาหกรรม กระจายไปอยู่ต่างจังหวัด และหากเราไม่ต้องการให้เกิดการกระจุกตัวอยู่เมืองใดเมืองหนึ่งที่มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมากจนเกินไป เมื่อมีการกระจายของคน สิ่งที่ตามมาคือ การกระจายโอกาส และต้องมีการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างให้กับเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่ดิน หนี้สิน ระบบชลประทาน ตามกระดุมห้าเม็ดที่เคยได้อภิปรายไปในสภาฯ

New Nomal ของ Global Trade  มันจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป อย่างที่เขาว่ากันว่า เงินทอง คือ มายา ข้าวปลา คือ ของจริง  ดังนั้นประเทศไทยมีโอกาสสูงมากจากด้านเกษตรกรรม

Virtual Tourism ทางเลือกใหม่ของการท่องเที่ยว เพิ่มโอกาสกระจายรายได้สู่รากหญ้า

แน่นอนว่าตัวเลขที่กระทบทางด้านการท่องเที่ยวตอนนี้ ผู้คนหยุดเดินทาง ซึ่งคิดเป็น  1 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด  หากคิดเป็นมูลค่าที่หายไปจากระบบอยู่ที่ประมาณ 500,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และสหประชาชาติก็มองว่า ฉากทัศน์ที่แย่ที่สุด คือ การท่องเที่ยวจะซึมยาวกว่า 5 ปี ที่จะไม่มีการเจริญเติบโต ถ้าเป็นเช่นนี้แนวโน้มเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นก็จะเป็นแบบ Hockey Stick เช่นกัน เพราะการท่องเที่ยวในไทยก็เป็นส่วนสำคัญของ GDP 

ดังนั้นคุณพิธา จึงเสนอว่า ในการที่จะทำให้ระดับของการท่องเที่ยวจะกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้งนั้น จะยกตัวอย่างจากสิ่งที่ บิล เกตส์ ได้พูดไว้ถึงการท่องเที่ยวของประเทศกรีซ ที่มีเว็บไซต์ Greecefromhome ซึ่งเป็นการใช้วิกฤตให้เป็นโอกาส โดยการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาช่วย ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวมิติใหม่อย่าง Virtual Tourism ด้วยการนำเทคโนโลยีโลกเสมือนอย่าง Virtual Reality (VR) , Augmented Reality (AR) และ Mixed Reality (MR) มาใช้  

เพราะในเมื่อเราไม่สามารถเอานักท่องเที่ยวมาเที่ยวกลับมาในช่วงที่เกิดโรคระบาดได้ แต่ช่วงที่คนอยู่บ้าน แน่นอนว่าหลายคนก็กำลังคิดว่าเมื่อมีการเปิดประเทศ และโรคระบาดควบคุมได้ ก็ต้องการที่จะท่องเที่ยวพักผ่อนในที่ที่ปลอดภัย รวมถึงมีมาตรฐานทางสาธารณสุขที่พร้อม ดังนั้นเศรษฐกิจหลัง COVID-19 จะมีเทรนด์ใหม่ ๆ ของผู้บริโภคเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะเทรนด์ของการใช้เทคโนโลยี 

อย่างไรก็ตาม ในการกระตุ้นการท่องเที่ยวก็จะต้องให้เข้าถึงรากหญ้าให้ได้เช่นกัน เพราะ มันก็เป็นวิกฤตที่มีโอกาสคล้าย ๆ กับเกษตรกร โดยตอนนี้ในประเทศไทยมีหลายจังหวัดที่ผู้ติดเชื้อ COVID-19 ลดลงต่อเนื่อง 14 วัน และสำหรับจังหวัดที่นักท่องเที่ยวอาจจะไม่เคยนึกถึงมาก่อนเมื่อมาท่องเที่ยวประเทศไทย อย่างเช่น แพร่ สิงห์บุรี ลพบุรี กำแพงเพชร 

ซึ่งที่ผ่านมาการท่องเที่ยวในไทยมักจะกระจุกตัวอยู่แค่หัวเมืองใหญ่อย่าง  กรุงเทพ  ภูเก็ต พัทยา แต่ในช่วงที่ยังไม่สามารถเปิดเมืองให้สามารถกลับมาเที่ยวได้  เราก็อาจจะไปดูว่ามีเมืองไหนที่ประชาชนไม่กระจุก มีความสงบสงบ มีจุดขาย มีสนามบินพร้อม และไม่กระทบกับมาตรการ Social Distancing จากทางสาธารณสุข  อาจจะมีการกลับมาทบทวนถึงการทำ Destination Planning ใหม่ โดยให้มีจังหวัดที่เคยเป็น off radar หรือนักท่องเที่ยวไม่เคยคิดถึงมาก่อน แต่เราสามารถโฆษณาได้ว่าเป็นที่ที่ปลอดภัย มีความสงบ  มีความพร้อมทางการแพทย์  ถ้ามาเที่ยวเมืองเหล่านี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจะซื้อประกันให้ เป็นต้น เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็จะเป็นโอกาสที่ดีที่จะปรับโครงสร้างให้คนรากหญ้าได้มีโอกาส มีรายได้เพิ่มขึ้น แล้วก็ใช้เทคโนโลยีโลกเสมือนจริงมาแนะนำให้กับนักท่องเที่ยวได้รู้จักจังหวัดเหล่านี้มากขึ้น

ถ้าประเทศไทยอยากจะให้เศรษฐกิจเป็นแบบ Boomerang ได้นั้น ต้องรู้ว่าจะโฟกัสที่จุดไหน ถ้ามีเงื่อนไขเหล่านี้ แล้วหลังจากนั้นค่อย ๆ เปราะทีละเล็กน้อย ผ่อนคลายมาตรการทีละจังหวัด ไม่ใช่มองทั้งประเทศในคลี่คลาย แล้วค่อยดำเนินการ ดังนั้นอย่างที่บอกว่าเรื่องของเศรษฐกิจมันเป็นเรื่องที่ต้องมองกันตั้งแต่มหภาค จุลภาค และเฉพาะหน้าจริง ๆ 

อย่างไรก็ตาม คุณพิธากล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับสถานการณ์ ณ ตอนนี้ ต้องบอกว่าประเทศไทยยังมีประชาชนอีกจำนวนมากที่เดือดร้อน และยังมีประชาชนกลุ่มเปราะบางที่อยู่ในเมือง และไม่มีสิทธิ์รับเงินเยียวยา 5,000  บาท จากการที่ถูกระบบการลงทะเบียนปฏิเสธด้วยสถานะการเป็นเกษตรกร 

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มประชาชนที่เดือดร้อน และไม่สามารถที่จะเข้าถึงเทคโนโลยีได้ ซึ่งเหล่านี้ถือเป็นความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล (digital divide) อย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งมาตรการเยียวยาในการแจกเงิน 5,000 บาทกับประชาชนที่เป็นแรงงานนอกระบบเพียง 9  ล้านคน แต่มีประชาชนอีก 50-60 ล้านคนที่ได้ผลกระทบ รัฐบาลจะสามารถเยียวยาให้ได้ถ้วนหน้าได้อย่างไร  ที่ประชาชนไม่จำเป็นต้องมาพิสูจน์สิทธิ์ด้วยเทคโนโลยีที่มันไม่พร้อม หรือด้วยมุมมองของความเป็นมนุษย์ที่บังคับคนให้พิสูจน์ความจนมันลดทอน  มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องเยียวยาถ้วนหน้า 

สำหรับการกู้เงินเพื่อมาเป็นงบประมาณในช่วงวิกฤตตรงนี้อีก 1.9 ล้านล้านบาท การเป็นหนี้สาธารณะตรงนี้ มีโอกาสที่จะประคับประคองเพื่อให้กลุ่มเปราะบาง และคนไทยทุกคนรอดจากวิกฤตนี้ไปได้ และในขณะเดียวกัน เมื่อประชาชนเริ่มที่จะตั้งหลักได้ เราก็ต้องย้อนกลับมาดูถึงนโยบายที่จะฟื้นเศรษฐกิจไทยให้สามารถกลับมาได้อีกครั้ง


ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

5 เคล็ดลับมองโลก จากผู้นำระดับท็อปที่ประสบความสำเร็จ

แม้ว่าจะไม่สูตรตายตัวที่จะประสบความสำเร็จแต่มี 5 อันดับที่ขาดไม่ได้ของเหล่า ผู้นำที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกตั้งแต่ Elon Musk , Jeff Bezos จนไปถึง Susan Wojcicki ถ้าอยากรู้ว่า...

Responsive image

5 คนที่ควรมีในชีวิต ถ้าคิดอยากประสบความสำเร็จ

เส้นทางสู่ความสำเร็จ เดินคนเดียวอาจไปถึงช้า จะดีกว่าไหมถ้ามีคนที่ใช่เคียงข้างไปด้วย บทความนี้จะชวนทุกคนตามหา 5 ความสัมพันธ์ที่เราควรมี เพื่อเส้นทางสู่ความสำเร็จ...

Responsive image

ถอด 4 บทเรียนธุรกิจ Taylor Swift ชื่อศิลปินที่มีมูลค่า 4 หมื่นล้านบาท

Taylor Swift ไม่ใช่แค่ของชื่อศิลปินอีกแล้ว กลายเป็น Branding ที่มีมูลค่าสูงถึง 2 หมื่นล้านบาท ความสำเร็จของ Taylor Swift ก็มีส่วนที่หยิบมาใช้ในการพัฒนาโมเดลธุรกิจได้เช่นเดียวกัน...