เราควรประพฤติตัวอย่างไรในยุคที่จักรกลท้าทายมนุษย์ - The Most Human Human | Techsauce

เราควรประพฤติตัวอย่างไรในยุคที่จักรกลท้าทายมนุษย์ - The Most Human Human

ถ้าจักรกลมีความคิดเป็นของตัวเอง โลกนี้จะเป็นอย่างไร

ก็มีมุมมองที่เด่น ๆ อยู่ 2 แบบ แบบแรกคือ Singularity คือคนที่เชื่อว่าซักวันเราจะสามารถสร้างจักรกลที่ฉลาดกว่ามนุษย์ และจักรกลก็จะสร้างจักรกลที่ฉลาดกว่าพวกมันไปเรื่อย ๆ ความเร็วในการพัฒนาจะถูกเร่งจนไม่สามารถคาดเดาได้ มนุษย์ก็อัพโหลดจิตของเราขึ้นไปบนอินเตอร์เน็ต แม้ร่างกายจะสลายไป แต่จิตใจจะคงอยู่ชั่วนิรันดร์

อีกแบบคือมองว่าจักรกลจะเติบใหญ่จนบดบังแสงอาทิตย์ มีความคิดจะครองโลก ถ้าไม่กำจัดพวกเราในทันทีก็จะจับพวกเราขังในโพรงและใช้ประโยชน์จากความร้อนในร่างกายเราไปตลอดกาล 

เอาล่ะ หนังสือเล่มนี้ไม่เห็นด้วยทั้งสองแบบเพราะมันสุดโต่งเกินไป ผู้เขียนก็มีมุมมองของเขาเช่นกัน แต่ผมว่าที่น่าสนใจกว่าคือ เราจะรู้ได้ยังไงว่าเมื่อไหร่ที่จักรกลมีความคิดเป็นของตัวเอง 

Alan Turing ผู้มีชื่อเสียงในวงการวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์พยายามตอบคำถามนี้ เขาจึงเสนอการทดลองขึ้นมา โดยในการทดลองจะให้กรรมการพูดคุยกับอีกฝ่ายผ่านคอมพิวเตอร์ จะได้คุยทั้งมนุษย์และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ งานของกรรมการคือแยกให้ออกว่าใครเป็นใคร 

 ไม่มีข้อจำกัดว่ากรรมการจะพูดอะไรได้บ้าง อาจจะเป็นเรื่องจิปาถะทั่วไป ความรู้รอบตัว ซุบซิบดารา จะถกปรัชญาก็ได้ หรือก็คือทุกอย่างที่มนุษย์คุยกัน เราเรียกการทดลองนี้ว่า Turing Test

Brian Christian ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วม Turing Test ในปี 2009 ในแต่ละรอบเขาจะถูกจับคู่กับปัญญาประดิษฐ์และกรรมการ ที่เขาต้องทำคือจูงใจใหกรรมการเชื่อว่าเขานี่แหละมนุษย์จริง ๆ 

เกณฑ์ที่ Turing วางไว้คือถ้าคอมพิวเตอร์สามารถหลอกกรรมการได้ถึง 30% ด้วยบทสนทนายาว 5 นาที จะถือว่าเมื่อนั้นแหละที่เราจะเรียกว่าคอมพิวเตอร์มีความคิดเป็นของตัวเอง  

คอมพิวเตอร์ที่ได้รับคะแนนมากที่สุด (ไม่ว่ามันจะได้คณะกรรมการได้ถึง 30% หรือไม่ก็ตาม) จะได้ตำแหน่ง “คอมพิวเตอร์ที่เป็นมนุษย์ที่สุด” มันเป็นรางวัลที่ทีมวิจัยทั้งหลายต้องการ และสำหรับมนุษย์ที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้ตำแหน่ง “มนุษย์ที่เป็นมนุษย์ที่สุด” (The Most Human Human) 

ลองสมมติว่าคุณได้ไปแข่งรายการนี้ แล้วเกิดพลาดท่าจนกรรมการคิดว่าคอมพิวเตอร์เป็นมนุษย์มากกว่าคุณ มันคงเป็นความรู้สึกที่เสียวพิลึก ที่จริงก็มีคำแนะนำหนึ่งที่ให้กับผู้เข้าแข่งขันแทบทุกปีนั่นคือ “อย่าลืมว่าคุณเป็นมนุษย์นะ แค่เป็นตัวเองก็พอ”

ฟังดูเป็นคำแนะนำที่เรียบง่ายและใช้ได้จริง “แค่เป็นตัวเอง” จะไปยากอะไร แต่เดี๋ยวก่อน Christian คิดว่าเราต้องมองให้ลึกซึ้งกว่านี้ ในเมื่อปัญญาประดิษฐ์พวกนี้เก่งขึ้นกันทุกปี ถ้าเราคิดแบบตื้น ๆ จะไปชนะพวกมันได้ยังไง และโดยปกติพวกคำกล่าวสั้น ๆ ก็มักจะมีความหมายที่ลึกกว่าที่คิดอยู่แล้ว

พอ Christian ลองครุ่นคิดกับวลีนี้ เขาก็พบว่า “แค่เป็นตัวเอง” ก็คือการค้นหาตัวตนอันแท้จริง เราต้องหาให้ได้ว่าตัวตนจริงแท้ของเราเป็นยังไง เราต้องเข้าใกล้มันให้มากขึ้น ลอกเปลือกภายนอกที่ใช้เข้าสังคม แล้วพยายามใช้ชีวิตตอบสนองตัวตนนั้นอย่างจริงแท้ที่สุด 

คุณอาจจะบอกว่าช่างเป็นปรัชญาเหลือเกิน ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะเล่มนี้เป็นเหมือนหนังสือปรัชญามากกว่าหนังสือเทคโนโลยีซะอีก ตอนที่ผมซื้อเล่มนี้มาก็ตั้งใจจะศึกษาว่าสมองของปัญญาประดิษฐ์เป็นยังไงกันแน่ อ่านไปอ่านมาก็เริ่มรู้สึกว่าสงสัยเลือกเล่มผิดซะแล้ว ไม่เป็นไร สิ่งที่ได้กลับมาคือมองความเป็นมนุษย์ให้ลึกซึ้งกว่าเดิม และเรื่องนี้สำคัญมากในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์เก่งขึ้นเรื่อย ๆ 

==

ถ้าถามว่าทำไมต้องศึกษาความเป็นมนุษย์ ผมคิดว่าก็เพื่อจะได้แยกแยะให้ออกว่ามนุษย์เรามีจุดเด่นอะไร อะไรที่มนุษย์ทำได้ แต่หุ่นยนต์ทำได้ดีกว่า อะไรที่มนุษย์มี แต่หุ่นยนต์ไม่สามารถมีได้ 

คงปฏิเสธไม่ได้ที่บางครั้งเราจะมองว่าหุ่นยนต์มาแย่งงานของเรา (หรืออย่างน้อยก็มองว่าเป็นคู่แข่ง) ซึ่งถ้าคุณมีมุมมองแบบนี้ก็เหมาะมากที่จะอ่านเล่มนี้ เพราะตามหน้าข่าวหรือบทความก็จะมีแต่พูดถึงความยอดเยี่ยมของปัญญาประดิษฐ์ ถ้าเอาตัวเองไปเทียบบ่อย ๆ ก็อาจจะรู้สึกแย่ไปเลย ดังนั้นข้อดีของหนังสือเล่มนี้คืออธิบายว่ามนุษย์เรามีดียังไง 

สิ่งที่มนุษย์ถูกโจมตีบ่อยมากคือ “อารมณ์” ปัญญาประดิษฐ์สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ ไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่มีปัญหาเรื่องจิตใจ ไม่เคยทะเลาะกับคนที่บ้าน การที่พวกมันคิดแบบมีตรรกะ ไม่ใช้อารมณ์ ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม มนุษย์เราถ้าตัดสินใจโดยใช้เหตุผลก็สามารถทำได้เยี่ยมเช่นกัน อย่างในตลาดหุ้น คนที่ทำกำไรได้สม่ำเสมอต่างก็ไม่ใช่คนที่ลงทุนด้วยอารมณ์ทั้งนั้น

การที่ “เหตุผล” ทำประโยชน์ได้มาก ทำให้เรามอง “อารมณ์” ในแง่ลบ แต่จริง ๆ แล้วอารมณ์มีแต่ข้อเสียจริงหรือ ถ้ามันไม่มีอะไรดี แล้วทำไมเราถึงไม่วิวัฒนาการให้ใช้แต่เหตุผลซะเลยล่ะ บางคนอาจจะบอกว่า “ก็กำลังวิวัฒนาการอยู่นี่ไง แต่มันยังไม่เร็วพอ” แต่คำตอบที่ดูเข้าท่ากว่าคือ “อารมณ์เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นต่อการตัดสินใจที่ดี” 

ในชีวิตเราต้องเจอปัญหาอยู่มากมาย มีทั้งเรื่องใหญ่เรื่องเล็ก ถ้าเป็นเรื่องใหญ่เราต้องอาศัยข้อมูลเพื่อช่วยตัดสินใจ แต่ถ้าเป็นเรื่องเล็กนั้นเราแทบไม่ต้องการข้อมูลอะไรเลย ซึ่งในกรณีนี้ถ้าคุณไม่ใช้อารมณ์ คุณจะลำบาก 

สมมติว่าคุณต้องเลือกปากกาด้ามใดด้ามหนึ่ง ระหว่างด้ามน้ำเงินกับแดง คุณสมบัติมันเหมือน ๆ กัน แทบไม่มีอะไรแตกต่าง ถ้าคุณเลือกด้วยเหตุผล คุณก็อาจจะเริ่มด้วยเขียนข้อดี-ข้อเสียแต่ละแท่ง เปรียบเทียบจุดเล็ก ๆ ที่น่าจะมองข้าม แต่เหมือนการพยายามหาข้อมูลเพิ่มเติมก็ไม่ช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้น

ปัญหาทั่วไปนั้นไม่มีทางเลือกไหนทีดีที่สุด ถ้าใช้แต่เหตุผล คุณจะอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สุดท้ายก็จะเป็นบ้า เหมือนกับเรื่องเล่าที่ลาตัวหนึ่งเดินกลับไปกลับมาระหว่างกองฟาง 2 กอง มันตัดสินใจไม่ได้ว่าจะกินฟางกองไหนดี สุดท้ายมันก็นอนหิวตายอยู่ตรงนั้น 

แต่ถ้าใช้อารมณ์ตัดสินใจก็อีกเรื่องเลย คุณชอบสีไหน คุณก็เลือกไป คุณไม่ต้องการตัวเลือกที่ถูกต้อง คุณแค่เลือกเพราะคุณพอใจ 

==

อันที่จริงเรื่องทั่วไปแบบนี้แหละที่จักรกลไม่สามารถทำได้ดีแบบเรา ถึงแม้เหล่า Chatbot ใน Turing Test จะถูกออกแบบให้สามารถคุยเรื่องทั่วไปได้ แต่ถ้าเจอกรรมการถามว่า “วันนี้คุณ A ใส่เสื้อสีอะไร” “คุณไปกินอาหารที่ขายข้างนอกหรือยัง” “คุณชอบงานศิลปะในล็อบบี้มั้ย” มันก็ง่ายมากที่กรรมการจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์ 

อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเราจะสามารถคุยเรื่องทั่วไปได้ดีกว่า Chatbot ก็ใช่ว่าเราจะทำตัวต่างจากพวกมัน 

สมมติถ้าเราชวนคนที่พึ่งรู้จักพูดคุย เราก็คงสร้างบทสนทนาคล้าย ๆ กัน เช่น เดินทางมาจากไหน ทำงานอะไร ซึ่งแม้แต่ Chatbot ก็สามารถคุยแบบนั้นได้ และกรรมการก็แยกไม่ออกว่าอีกฝ่ายเป็นมนุษย์หรือคอมพิวเตอร์ 

มันก็เป็นหน้าที่ของมนุษย์ที่จะต้องแสดงจุดเด่นออกมา อย่าลืมว่างานนี้นอกจากจะต้องไม่เสียคะแนนให้กับหุ่นยนต์แล้ว ถ้าอยากจะได้ตำแหน่งมนุษย์ที่เป็นมนุษย์ที่สุด ก็ต้องทำตัวให้โดดเด่นกว่ามนุษย์คนอื่นด้วย 

Charles Platt เป็นหนึ่งในผู้ชนะ Turing Test ในปี 1994 ได้บอกเคล็ดลับวิธีชนะในการแข่งว่า เขาทำตัว “ขี้หงุดหงิด น่ารำคาญ และน่ารังเกียจ” 

อืมม เป็นความจริงที่ตลกและเศร้าในเวลาเดียวกัน อันที่จริงคุณจะลองทำตามนั้นก็ได้ แต่ก็ต้องทำแบบมีชั้นเชิง ถ้าคุณจะทำตัวน่ารังเกียจด้วยการด่าทออาจจะไม่เพียงพอ เพราะ Chatbot อย่าง MGonz ก็ทำได้ อันที่จริงบทสนทนาที่มีแต่การด่าทอไม่มีอะไรที่ซับซ้อนเลย ลองนึกถึงเวลาที่คุณเถียงด่ากับเพื่อนก็ได้ เนื้อหากลายเป็นเรื่องงี่เง่าและออกนอกหัวข้อเดิมไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ 

Christian ถึงกับบอกว่า “เมื่อได้เห็น MGonz เลียนแบบการด่าได้เหมือนมนุษย์เพียงใด เราก็อาจจะขายหน้าจนต้องประพฤติตัวให้ดีขึ้น” 

วิธีหนึ่งที่ Christian ใช้สร้างบทสนทนาที่โดดเด่นคือ การพูดแทรกระหว่างที่กรรมการพิมพ์อยู่ เพื่อนนักเขียนบทละครของเขาได้บอกว่า “การแยกแยะว่าบทละครชิ้นไหนเป็นของมือสมัครเล่นนั้นไม่ยาก เพราะตัวละครของมือสมัครเล่นจะพูดจนจบประโยคสมบูรณ์ ไม่มีใครพูดแบบนั้นในชีวิตจริงหรอก” ซึ่งก็จริงแฮะ 

นอกจากนี้ความสนใจของคอมพิวเตอร์และมนุษย์ก็ไม่เหมือนกัน (ที่จริงคอมพิวเตอร์ก็ไม่ได้คิดหรอกว่ากำลังคุยอะไรกับอีกฝ่าย) สมมติว่าคุณหรือ Chatbot ถามกรรมการว่าเดินทางมาไกลไหม กรรมการก็อาจตอบว่า “อ๋อ ขับรถม้ามา 2 ชั่วโมงเอง ไม่ไกลมาก” 

ตัววิเคราะห์ไวยากรณ์ของ Chatbot อาจจะลดรูปประโยคเหลือ “2 ชั่วโมง ไม่ไกล” แต่มนุษย์จะตื่นเต้นกับการที่ใครซักคนขับรถม้าโบราณจนลืมถามเรื่องการจราจร 

ผมว่าหนังสือเล่มนี้มันดีตรงที่สอนให้เราคอยมองหาความแตกต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ สิ่งเหล่านี้มันทำให้เราตื่นเต้นและอยากที่จะใช้ชีวิตต่อ การที่เราต้องการความแตกต่างมาคอยเติมเต็มนี่แหละทำให้งานศิลปะยังจำเป็นต่อโลกนี้ ถึงแม้ว่าจักรกลจะทำผลงานได้ดีพอ ๆ กัน

==

ข้อดีของปัญญาประดิษฐ์คือ มันสามารถทำงานได้รวดเร็วและสร้างปริมาณมาก ๆ ได้ แต่ Glenn Murcutt สถาปนิกชื่อดังก็บอกว่า “ชีวิตไม่ใช่การทำทุกอย่างให้มากที่สุดเสมอไป” และงานศิลปะก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกผลิดคราวละมาก ๆ ได้ 

Murcutt เห็นว่าความเร็วและความซ้ำซากไม่นำไปสู่คำตอบที่ถูกต้อง การปรับมุมมองต่างหากที่จะทำให้เห็นทางออก Jean Nouvel สถาปนิกชื่อดังอีกคนก็เห็นว่าคอมพิวเตอร์อาจจะทำให้ทำงานได้สะดวก แต่สุดท้ายก็จะได้ตึกหน้าตาดาด ๆ เหมือนกัน 

“ผมพยายามเป็นสถาปนิกที่สนองต่อบริบท สำหรับตึกแต่ละหลังแล้วมีเหตุผลเสมอว่าทำไมมันต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ สิ่งที่ผมทำกับตึกหลังนี้ตรงนี้มันไม่อาจทำกับตึกหลังอื่นที่อื่นได้ ทำไม่ได้” Nouvel กล่าว 

ศิลปินแนวอื่นก็ต้องทำตัวให้ผิดไปจากแบบแผนเช่นเดียวกัน และการผิดไปจากแผนนี่แหละคือข้อได้เปรียบของมนุษย์ มันคงเป็นเรื่องน่าเบื่อถ้าคุณไปดูคอนเสิร์ต แล้วนักดนตรีทั้งวงก็แค่เล่นตามชุดเพลงที่เตรียมไว้ 

นักแสดงละครเวทีจะต้องทำอย่างไรกับการแสดงซ้ำแล้วซ้ำเล่ามากถึงสัปดาห์ละ 8 รอบ เป็นเวลาหลายเดือน คนเหล่านี้จะคงความเป็นศิลปินได้อย่างไรเมื่อต้องแสดงรอบที่ 10 รอบที่ 25 รอบที่ 100 

คำตอบคือ ดูบริบทในแต่ละค่ำคืนและทำสิ่งที่ดูเสี่ยงเพื่อสร้างความตื่นเต้น 

การไม่ทำตามแผนจะทำให้เราตกอยู่ในความเสี่ยงก็จริง แต่มันก็สร้างอารมณ์ร่วมจนต้องกลืนน้ำลาย 

และนั่นคือสัญญาณว่าเรายังมีชีวิต 

==

ในปี 1996 Garry Kasparov เซียนหมากรุกสามารถเอาชนะโปรแกรมเล่นหมากรุก Deep Blue ได้ขาดลอย แต่ต่อมาในปี 1997 Kasparov เป็นฝ่ายแพ้ ในกระดานสุดท้ายเขาไม่ได้เดินตามตำรา เขาเดินหมากแบบอื่นที่เสี่ยงกว่า และทำให้เขาแพ้ในกระดานนั้นอย่างรวดเร็ว 

คนบางคนที่มีชื่อเสียงเคยกล่าวไว้ว่า “หมากรุกเป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัด เปรียบเหมือนอย่างการประพันธ์เพลงหรือวรรณกรรม” แต่เมื่อได้เห็นหุ่นยนต์เอาชนะ Kasparov ได้ก็กลับคำ “หมากรุกไม่ใช่เกมที่อาศัยปัญญาเท่ากับดนตรีและการเขียนอีกแล้ว เพราะ 2 อย่างหลังนั้นต้องอาศัยจิตวิญญาณด้วย” 

ซึ่งก็คงจะหมายถึงว่าหมากรุกได้กลายเป็นเกมที่ต้องใช้ตรรกะและการคำนวณที่ซับซ้อนเพียงอย่างเดียว ถ้าเป็นแบบนี้มนุษย์ก็ไม่สามารถเอาชนะหุ่นยนต์ได้ 

อย่างไรก็ตาม แต่ไหนแต่ไรเราครองโลกด้วยความสามารถในการปรับตัว ความคิดเชิงนวัตกรรม และความสามารถในการเรียนรู้ที่เหนือกว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ดังนั้นเราจะไม่พ่ายแพ้แล้วนอนอยู่เฉย ๆ 

ปี 1998 Kasparov ท้าสู้กับ Deep Blue อีกครั้ง แต่ทาง IBM ปฏิเสธ พวกเขาถอดปลั๊กและแยกมันเป็นส่วนเก็บเข้ากรุ 

ในการแข่ง Turing Test เมื่อใดก็ตามที่ปัญญาประดิษฐ์สามารถผ่านการทดสอบได้ ก็จะมีผู้คนคิดว่ามันจะผ่านตลอดไป แต่ Christian ไม่เชื่อเช่นนั้น 

ถึงแม้ปีแรกที่หุ่นยนต์ผ่านการทดสอบจะถูกจารึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ แต่ที่น่าสนใจคือปีถัดไปต่างหาก เพราะมันจะเป็นปีที่มนุษย์ยืนหยัดอีกครั้งหลังจากที่ถูกน็อกลงไปกองกับพื้น 

แล้วถ้ามนุษย์สามารถเอาชนะได้ครั้งแล้วครั้งเล่าจะเป็นอย่างไร Kasparov บอกว่า 

หนึ่งในศัตรูที่อันตรายที่สุดที่คุณอาจเผชิญคือความชะล่าใจ...เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเริ่มรู้สึกว่าบางอย่างเป็นของตาย เมื่อนั้นแหละที่คุณมีโอกาสพ่ายแพ้ให้แก่คนที่พยายามต่อสู้หนักกว่า

มีข้อคิดหนึ่งที่ Christian ให้ไว้ในท้ายเล่ม ผมชอบมาก 

มนุษย์เราอาจจะเป็นผลสำเร็จชั้นยอดของวิวัฒนาการ แต่บางครั้งสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวก็แพร่เชื้อหวัดจนทำให้เราต้องนอนซมไปหลายวัน 

==

หนังสือ: ปัญญา-มนุษย์-ประดิษฐ์ (The Most Human Human)
ผู้เขียน: Brian Christian
ผู้แปล: ทีปกร วุฒิพิทยามงคล
สำนักพิมพ์: Salt Publishing

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

5 ข้อแตกต่างที่ทำให้ Jensen Huang เป็นผู้นำใน 0.4% ด้วยพลัง Cognitive Hunger

บทความนี้จะพาทุกคนไปถอดรหัสความสำเร็จของ Jensen Huang ด้วยแนวคิด Cognitive Hunger ความตื่นกระหายการเรียนรู้ เคล็ดลับสำคัญที่สร้างความแตกต่างและนำพา NVIDIA ก้าวสู่ความเป็นผู้นำระดับ...

Responsive image

เรื่องเล่าจาก Tim Cook “...ผมไม่เคยคิดเลยว่า Apple จะมีวันล้มละลาย”

Apple ก้าวเข้าสู่ยุค AI พร้อมรักษาจิตวิญญาณจาก Steve Jobs สู่อนาคตที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรม โดย Tim Cook มุ่งเปลี่ยนโฉมเทคโนโลยีอีกครั้ง!...

Responsive image

วิจัยชี้ ‘Startup’ ยิ่งอายุมาก ยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จ

บทความนี้ Techsauce จะพาคุณไปสำรวจว่าอะไรที่ทำให้ วัย 40 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของนักธุรกิจและ Startup หลายคน...