หลังจากประเทศไทยผ่านพ้นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไปเมื่อปลายเดือนมีนาคม ก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการนับคะแนนไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความถูกต้องและความรวดเร็ว ซึ่งการแสดงความคิดเห็นเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวล้วนเป็นสัญญาณที่ดีในการขับเคลื่อนประเทศ
จากกระแสดังกล่าว ทำให้คนบางส่วนเริ่มมองหาเทคโนโลยีเข้ามาช่วย “ยกระดับ” กระบวนการเลือกตั้งให้เกิดความรวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ และโปร่งใส ซึ่งจาก 3-4 คำที่ว่ามานี้ คงเป็นเทคโนโลยีอื่นไปไม่ได้ นอกเสียจาก Blockchain นั่นเอง
การจับคู่ Blockchain กับการเลือกตั้งไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วในต่างประเทศ แต่หากถามว่าการนำ Blockchain มาใช้ในการเลือกตั้ง ถือเป็นทางออกได้หรือไม่ ก็ขอตอบว่า “ยังไม่ใช่” แต่จะไม่ใช่ด้วยเหตุใด เราจะพามาสำรวจแง่มุมต่างๆ ของเรื่องนี้กัน
Blockchain คืออะไร
Techsauce มีบทความที่อธิบายความเป็นมาของ Blockchain เอาไว้อย่างละเอียด สามารถอ่านได้ที่ เข้าใจ Blockchain ใน 5 นาที สำคัญอย่างไร และเกี่ยวข้องอย่างไรกับ Fintech
เราสามารถอธิบายได้โดยย่อว่า Blockchain คือเทคโนโลยีจัดการข้อมูลรูปแบบหนึ่ง ที่เก็บบันทึกธุรกรรมและส่งบันทึกให้กับทุกคนในระบบเพื่อยืนยันว่า "ธุรกรรม" ที่ถูกบันทึกลงไปนั้น "เกิดขึ้นจริง" บันทึกจะถูกคำนวณด้วย Algorithm เพื่อเข้ารหัส ซึ่งการคำนวณจะ Sensitive ต่อค่าต่างๆ อย่างมาก หากมีการบิดเบือนค่านั้นจะผิดและไม่ตรงกับระบบทันทีจึงป้องกันการบิดเบือนจากภายในได้
ทำไมถึงมีการคิดจะใช้ Blockchain ในการเลือกตั้ง
แนวคิดการนำ Blockchain มาใช้เกิดจากความต้องการบริการ “เลือกตั้งอิเล็กทรอนิกส์” เพื่อลดการใช้ทรัพยากร ช่วยให้บริการทั่วถึงมากขึ้นในพื้นที่ห่างไกล และช่วยให้กระบวนการทำงานทั้งหลายดำเนินไปได้อย่างสะดวกรวดเร็ว โดยเฉพาะขั้นตอนการนับคะแนนที่จะรวดเร็วมากขึ้นเมื่ออยู่ในรูป Digital
แม้ว่าการเลือกตั้งอิเล็กทรอนิกส์จะมีข้อดีมากมาย แต่เทคโนโลยีที่แพร่หลายในปัจจุบัน กลับยังไม่ตอบโจทย์เรื่องความปลอดภัย ความโปร่งใส และการปกป้องคุ้มครองข้อมูล ดังนั้น จึงมีแนวคิดการนำ Blockchain ซึ่งมีจุดเด่นเรื่องความโปร่งใส ความปลอดภัย และการปกป้องคุ้มครองข้อมูลมาใช้กับการเลือกตั้ง
ปัจจุบัน การใช้ Blockchain ในการเลือกตั้งกำลังอยู่ในขั้นทดลองใช้งาน โดยมี Startup เป็นผู้พัฒนา Platform นี้ขึ้น เช่น Follow My Vote และ Voatz ทั้งยังมีการทดลองใช้ในการเลือกตั้งกลางเทอมที่สหรัฐอเมริกา ในพื้นที่รัฐเวสต์ เวอจิเนีย ซึ่งผ่านไปได้ด้วยดี แต่ก็เป็นที่ถกเถียงของผู้เชี่ยวชาญแวดวงเทคโนโลยีไม่น้อย
Picture by geralt from Pixabayเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น เราจึงขอรวบรวมข้อดีและข้อเสียของการใช้ Blockchain มาให้ทุกท่านได้รับทราบกัน
ข้อดีและจุดแข็ง
จากคุณสมบัติของ Blockchain ที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ เราจึงรวบรวมและนำคุณสมบัติที่ Blockchain เหมาะสมกับการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งไว้ดังนี้
- การเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์และเชื่อมประสาน Decentralisation and Distributing นับเป็นจุดแข็งของ Blockchain ที่ช่วยให้ข้อมูลภายในไม่ถูกเจาะและเป็นของแท้เสมอ ผ่านการเชื่อมประสานผู้ใช้แต่ละรายให้ยืนยันความถูกต้องของชุดข้อมูลร่วมกันตลอดเวลา รวมถึงยังแบ่งเก็บข้อมูลทำให้ข้อมูลในระบบไม่อาจถูกทำลายให้หายไปได้
การกระจายศูนย์และเชื่อมประสานยังเป็นการยืนยันความถูกต้องของข้อมูลที่จะเข้ามาใหม่ และหากต้องการแก้ไขข้อมูลในระบบเพื่อให้เป็นไปตามต้องการ ก็ต้องแก้ไขที่ผู้ใช้มากกว่าครึ่งหนึ่งของทั้งระบบเป็นอย่างน้อย ซึ่งเป็นไปได้ยากมาก
- การติดตามข้อมูล Trackability ข้อมูลที่บรรจุใน Blockchain จะมีลักษณะเป็นสายโซ่ทำให้สามารถติดตามรวมถึงดูเส้นทางการวิ่งของข้อมูลย้อนหลังได้ แน่นอนข้อมูลเหล่านี้คือคะแนนเสียงที่เราสามารถติดตามได้ว่าถูกนับลงไปในสิ่งที่เราเลือกจริงๆ
- การปกป้องระบบและข้อมูล Security คุณสมบัติข้อมูลกระจายศูนย์และการติดตามข้อมูลคงเป็นโทษมากกว่าประโยชน์ หากไม่สามารถ “คุ้มครองการเข้าถึง” ข้อมูลจากบุคคลไม่พึงประสงค์ได้ ดังนั้น Blockchain จึงมักมาพร้อมระบบป้องกันที่เรียกว่า Cryptography ที่แปลงข้อมูลเป็นตัวเลขอันซับซ้อนจนคอมพิวเตอร์ธรรมดาต้องใช้เวลาถอดรหัสนานนับปี ซึ่งผู้ที่จะเข้าถึงได้นั้น คือผู้ที่มีกุญแจที่ถูกต้อง ซึ่งระบบส่วนใหญ่จะมอบให้กับ “ผู้ส่งข้อมูล” และ “ผู้รับข้อมูล” เท่านั้น ซึ่งทั้งสองจะได้รับข้อมูลตามเงื่อนไขที่กำหนดเท่านั้น อีกทั้ง Cryptography ยังสามารถจำกัดการเข้าถึงชื่อหรือข้อมูลส่วนบุคคลของทุกคนในระบบได้ด้วย
- เลือกตั้งระยะไกลผ่านอินเทอร์เน็ต อีกหนึ่งคุณสมบัติที่น่าสนใจของการใช้ Blockchain คือการปลดล็อกปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเลือกตั้งในต่างประเทศหรือพื้นที่ห่างไกลโดยยกกระบวนการเลือกตั้งที่สร้างจากเทคโนโลยี Blockchain ไปไว้บนอินเทอร์เน็ต
- นับคะแนนได้ทันทีเมื่อเป็น Digital การยกระบบเลือกตั้งไว้บนโลกออนไลน์จะทำให้ได้คุณสมบัติการจัดการข้อมูลแบบอัตโนมัติ จึงสามารถประกาศนับคะแนนและคำนวณผลการเลือกตั้งได้ทันที
ข้อด้อยและจุดบอด
ต้องยอมรับว่าคุณสมบัติที่กล่าวไปข้างต้นของ Blockchain นับว่าตอบโจทย์การปกป้องและติดตามข้อมูล ไม่เช่นนั้น สถาบันการเงิน ภาคธุรกิจ หรือแม้แต่ภาครัฐ จะพิจารณาเทคโนโลยีชนิดนี้ในการเก็บรักษาข้อมูลสำคัญ แต่ Blockchain เองก็มีจุดบอดใหญ่มากที่ทำให้มัน “ไม่เหมาะ” กับการเลือกตั้งเช่นกัน ได้แก่
- โจมตีช่องว่างก่อนสิทธิ์ของเราจะเข้าสู่ Digital การบันทึกคะแนนเสียงเลือกตั้งบน Blockchain ต้องมีการ “ใส่ข้อมูล” ในรูปแบบ Digital ไม่ว่าจะอย่างไร เราหรือคนทำหน้าที่ยังต้องมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อบางอย่างเพื่อถ่ายทอดคะแนนเสียงลงไป ซึ่งหากต้องการ “บิดเบือน” การลงคะแนนเสียงของเราจริงๆ ก็สามารถกระทำได้ในขั้นตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นการบิดเบือนที่ Hardware เช่น นำ Device ที่ดัดแปลงมาให้ใช้ หรือ Software เช่น การฝังโปรแกรมบางอย่างลงใน Application เลือกตั้ง แม้ว่าแน่นอนว่าพอจะมีทางป้องกัน แต่ก็ซับซ้อนพอสมควร
- Cryptography เจาะยากแต่เจาะได้ แม้เราจะทราบว่า Cryptography จะถูกแก้รหัสเพื่อเอาข้อมูลได้ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะป้องกันการเจาะได้ 100 เปอร์เซนต์ ซึ่งหากถูกเจาะแม้ว่าจะไม่นำไปสู่การแก้ไขข้อมูล แต่อาจนำไปสู่ประเด็นที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือเข้าถึงข้อมูลเพื่อเช็กผลการ “ซื้อเสียง”
- Blockchain ไม่ได้ป้องกันการสวมรอย นับเป็นประเด็นใหญ่ที่หลายคนอาจไม่คำนึงถึง สืบเนื่องจากข้อก่อนหน้านี้ที่กล่าวว่า ความน่าเชื่อถือของผู้ใช้ใน Blockchain มาจากรายการธุรกรรมเดิม นี่คือจุดอ่อนที่ทำให้ต้องใช้ระบบอื่นเข้าเสริม และทำให้เกิดความเสี่ยงในการสวม "อัตลักษณ์ดิจิทัล" เพื่อลงคะแนนในระบบไดด้
แน่นอนว่าเมื่อถูกสวมรอยแล้ว Blockchain จะไม่อนุญาตให้เราย้อนกระบวนการ นั่นทำให้สิทธิ์ที่ผิดพลาดในโลกความจริงถูกบันทึกและแก้ไขไม่ได้ นอกเสียจากทำการเพิ่มข้อมูลเข้าไปใหม่ผ่านการป้อนคำสั่งใหม่และลงคะแนนซ้ำ ก็ยิ่งทำให้การทำงานในระบบซับซ้อนยิ่งขึ้น
- ความเป็นกล่องลี้ลับที่คนไม่เข้าใจและยอมรับ แม้ว่าเราอาจจะยอมรับการโอนเงินโดยไม่มีธนบัตรให้จับต้อง แต่บางคนอาจไม่ยอมรับการนับคะแนนที่ไม่มีใครมายืนนับให้เห็นกับตา การใช้ Blockchain ที่แปลงคะแนนเสียงของเราเป็นไฟฟ้าอาจนำมาสู่ความวุ่นวายของคนที่เคลือบแคลงในระบบที่เป็นอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้จัดการเลือกตั้งขนาดใหญ่ต้องให้ความสนใจ หากความโปร่งใสเป็นสิทธิ์ที่ประชาชนพึงได้เห็น
- ปัญหาอื่นๆ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาสืบเนื่องที่ส่งผลต่อระบบการเลือกตั้งที่เรายังไม่ขอลงรายละเอียดในเวลานี้ เช่น ระบบที่ใช้จะเป็น Public หรือ Private, จะพัฒนาเครือข่ายขึ้นใหม่หรือเลือกใช้เครือข่ายที่มีอยู่เดิม การใช้เครือข่ายที่มีอยู่เดิมจะโปร่งใสมากน้อยแค่ไหน เครือข่ายที่พัฒนาขึ้นใหม่จะมีใครเป็นเจ้าภาพ คุณภาพสัญญาณอินเทอร์เน็ตมีความพร้อมมากน้อยแค่ไหนในพื้นที่ห่างไกล ไปจนถึงการออกแบบ Flow การใช้งานระบบจะเป็นอย่างไร
ถ้าจะใช้ Blockchain ในการเลือกตั้งจริงๆ ต้องมีอะไรบ้าง
ได้รับทราบข้อดีข้อเสียไปแล้ว แต่เชื่อว่าหลายคนอาจจะอยากจำลองสถานการณ์ว่าถ้าเราต้องเลือกตั้งด้วย Blockchain จริงๆ รูปแบบมันควรจะประกอบด้วยอะไรบ้าง
- Hardware ที่ทุกคนเข้าถึงได้ ปัจจุบัน เรายังไม่มีวิธี Interface กับ Digital โดยไม่ผ่าน Hardware ดังนั้น สิ่งที่เราต้องมีคือ Device ที่รองรับลงคะแนน Digital ที่อาจทำได้หลายวิธี ทั้งออกแบบคูหาเลือกตั้งที่มี Device ให้ใช้งาน หรือแจกจ่าย Application ลงใน Device ของประชาชน ซึ่งทั้งสองวิธี ประชาชนสามารถลงคะแนนตรงสู่ระบบได้เลย แต่ก็มีข้อเสียที่วิธีแรกมีค่าใช้จ่ายสูง ส่วนวิธีที่สองก็มีความเสี่ยงเรื่องการควบคุมความปลอดภัยในตัวเครื่องที่ยากกว่า
- Software ต้องใช้ง่าย Security ต้องเจาะยาก ไม่เพียงแต่ Hardware เท่านั้น แต่ Software ต้องถูกออกแบบให้ทั้งครอบคลุมและปลอดภัยต่อการใช้งานที่สุด ตัว Software ต้องคำนึงถึงความหลากหลายของผู้คนทั้งด้านภายภาพและการใช้งานที่ง่ายที่สุด ทั้งยังต้องคงความปลอดภัยในหลายๆ ด้าน เพื่อให้สิทธิ์การลงคะแนนเป็นไปตามประสงค์ของแต่ละคน
- ผู้มีสิทธิ์ทุกคนอาจต้องใช้ Digital ID อีกปัญหาหนึ่งคือกระบวนการยืนยันตัวตนหากต้องนำข้อมูลเข้าสู่ Digital ซึ่งหนึ่งใน Model ที่กำลังได้รับความสนใจคือ Digital ID โดยให้บริษัทนำส่งข้อมูลดิจิทัลของเราเพื่อเป็นการยืนยันการทำธุรกรรมแต่ละครั้ง ธุรกรรมที่ทำจะถูกบันทึกบน Blockchain ไว้เสมอ ทำให้เราสามารถยืนยันตัวตนผ่านธุรกรรมเดิมได้ ซึ่งการเลือกตั้งนั้นเป็นวาระที่การยืนยันตัวตนจะผิดพลาดไม่ได้ การใช้ Digital ID จึงช่วยลดโอกาสผิดพลาดส่วนนี้ลงไปได้มาก
- Blockchain ต้องเป็น Infrastructure ด้านการเมืองไปเลย แทนที่จะหยุดการใช้ Blockchain อยู่แค่การเลือกตั้ง เราสามารถพัฒนา Blockchain ไปรองรับการเคลื่อนไหวตามกติกาในด้านอื่นๆ เช่น การเสนอชื่อถอดถอนผู้แทนหรือสมาชิก หรือการทำประชามติ ซึ่งส่วนนี้ Blockchain จะกลายเป็นการบันทึกธุรกรรมที่มีประโยชน์มากกว่าแค่การเลือกตั้ง
ตัวอย่างการใช้งานที่น่าสนใจคือ e-Estonia จากประเทศเอสโทเนีย ระบบที่ช่วยให้ประชาชนทำธุรกรรมกับภาครัฐฯ ได้อย่างครบวงจรผ่าน Blockchain แต่ทั้งนี้ ประเทศเอสโทเนียมีการเลือกตั้งออนไลน์ i-Voting ตั้งแต่ปี 2005 โดยยังไม่ได้ใช้ Blockchain ในกระบวนการเลือกตั้งจนถึงตอนนี้
ที่เราต้องการคือ “ระบบกลไก” เพราะเทคโนโลยีเป็นได้แค่เครื่องมือ
ด้วยความเร็วของการพัฒนาเทคโนโลยีในปัจจุบัน ระบบการลงคะแนนเสียงบน Digital จะมาถึงเราแน่นอน แต่การจะเลือกใช้ Blockchain หรือไม่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความพร้อมหรือคุณสมบัติของเทคโนโลยีอย่างเดียว แต่อยู่ที่การออกแบบระบบให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ แล้วเลือกใช้เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งในนั้น
การที่เรายกข้อเสียของ Blockchain ขึ้นมา เพียงเพื่อต้องการบอกว่าการใช้เทคโนโลยีใดๆ ไม่สามารถแก้ไขปัญหานั้นได้อย่างเบ็ดเสร็จ จำเป็นต้องมีวิธีการอื่นๆ เข้ามาร่วมประกอบด้วยเพื่ออุดช่องว่างต่างๆ เช่น ในการเลือกตั้งหรือกระบวนการใดๆ ก็ตาม Blockchain จะมีประโยชน์เต็มที่เมื่อข้อมูลทั้งหมดถูกลำเลียงเข้าสู่ Digital แต่กระบวนการก่อนที่ข้อมูลจะเป็น Digital นั้นจะต้องทำอย่างไรให้ง่ายและโปร่งใส ก็ยังมีเรื่องที่ต้องคิดกันต่อไป
ทั้งนี้ หากถามถึงความโปร่งใสในการเลือกตั้ง การใช้ Blockchain ที่เด่นในเรื่องนี้ก็ช่วยเพิ่มความมั่นใจได้ แต่หากผู้จัดการเลือกตั้งไม่ได้ตอบคำถามตรงไปตรงมาตั้งแต่แรก ต่อให้ใช้ Blockchain ระบบก็ยังคงน่ากังขาอยู่ดี เพราะมีจุดบอดและช่องโหว่อย่างที่เรานำเสนอไป
สุดท้ายแล้ว เราอาจจะต้องการมีผู้จัดที่ยืนยันว่าสิทธื์ของทุกคนจะไม่ถูกบิดหรือเขย่ง ก่อนที่ทุกอย่างจะถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีนั่นเอง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก cnet.com, nbcnews.com, arstechnica.com, forbes.com, cbinsights.com, followmyvote.com, thefederalist.com และ marketwatch.com