รู้สึกไหมว่าปีนี้ราคาอาหารแพงขึ้นเป็นเท่าตัว ? ใครๆ ก็ต่างพูดว่าเป็นเพราะเงินเฟ้อและพิษเศรษฐกิจ แต่เชื่อไหมว่าความจริงแล้วสาเหตุหลักที่ดันให้ราคาอาหารแพงมาจาก ภาวะสภาพอากาศแปรปรวน (Climate Change) ซึ่งเป็นปัญหาที่ถูกมองข้ามไปเพราะหลายคนรู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัว
สภาพอากาศแปรปรวนอาจไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่คิด เพราะผลของมันส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเรา โดยเฉพาะภาวะเงินเฟ้อในปัจจุบันที่ดันให้ราคาอาหารในประเทศไทยพุ่งสูงอย่างเห็นได้ชัด
ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ระบุว่า จากการเปรียบเทียบดัชนีราคาผู้บริโภคของไทย (Core CPI) เดือนเมษายนปี 2567 กับปี 2566 พบว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปสูงขึ้น 0.19% ส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการเพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะในหมวดอาหารที่เฟ้อถึง 0.28%
โดยสาเหตุที่ก่อให้เกิดเงินเฟ้อในหมวดอาหาร สนค.ชีว่าส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับสูงขึ้นตามสถานการณ์ราคาพลังงานในตลาดโลก แต่สาเหตุหลักมาจากปัญหาสภาพอากาศร้อนจัดและขาดแคลนน้ำซึ่งเป็นผลมาจากภาวะสภาพอากาศแปรปรวน
ตามกลไกตลาดหนึ่งในสาเหตุของการเกิดเงินเฟ้อมาจากการที่ ความต้องการสินค้า ในตลาดมีมากกว่า จำนวนสินค้า จึงดันให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น (Demand มีมากกว่า Supply)
ในกรณีของประเทศไทย เราต้องเผชิญกับสภาพอากาศร้อนรุนแรง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเอลนีโญที่เข้ามาเสริมกำลังกับภาวะสภาพอากาศแปรปรวน ทำให้อากาศยิ่งทวีคูณความแห้งแล้งและร้อนขึ้นไปมากกว่าเดิม โดยอุณหภูมิสูงสุดของประเทศแตะ 44 องศาเซลเซียสแล้ว
ปัญหาด้านความร้อนและความแล้งทำให้เราผลิตสินค้าเกษตรและปศุสัตว์ได้น้อยลง แต่ผู้บริโภคที่ต้องการสินค้ายังคงมีเท่าเดิม (หรืออาจมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ) เมื่อของขายมีน้อยลง แต่ความต้องการของคนซื้อยังมีเท่าเดิม มันจึงดันให้ราคาพืชผักผลไม้ไทยมีราคาแพงขึ้น
สุดท้ายเมื่อสินค้าเกษตรและปศุสัตว์ที่เป็นวัตถุดิบที่อยู่ต้นน้ำการผลิตมีราคาสูงขึ้น ก็ย่อมส่งผลให้กับราคาอาหาร เช่น ข้าวสำเร็จรูป ก๋วยเตี๋ยว ข้าวแกง หรืออาหารอื่นๆ ต้องปรับราคาตามต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นนั่นเอง
จากปัญหาสภาพอากาศร้อนจัดและขาดแคลนน้ำ ส่งผลให้ในปัจจุบันมีสินค้าเกษตรและปศุสัตว์ไทยราคาพุ่งสูงกว่าเดิมไปหลายชนิดแล้ว แต่ที่สังเกตเห็นได้ชัดและกระทบชีวิตคนไทยมากที่สุดก็จะมีอยู่ 5 ชนิดหลักๆ ได้แก่
ข้าว: อาหารหลักของคนไทย ด้านโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ราคาข้าวเปลือกนาปรังปี 2567 ถือว่าสูงที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ปีนี้ราคาข้าวสูงขึ้นมาประมาณ 2,000-3,000 บาท/ตัน (ราคาเฉลี่ยล่าสุดเดือนเมษายน 67: 13,995 บาท/ตัน)
นอกจากนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในปี 2024 ภาวะ Climate Change อาจรุนแรงขึ้นอีก จากทั้งเอลนีโญและลานีญาที่ทำให้เกิดน้ำแล้งและน้ำท่วมในปีเดียวกัน ส่งผลให้ผลผลิตข้าวของไทยทั้ง 3 ภาค อาจลดลง 10% เหลือเพียงแค่ 30.4 ล้านตัน
ไข่ไก่: วัตถุดิบพื้นฐานที่ทุกบ้านต้องซื้อ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาราคาไข่ไก่มีการปรับขึ้นถึง 2 ครั้งในเดือนเดียว โดยครั้งแรกเครือข่ายสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ประกาศขึ้นราคาแผงละ 6 บาทในวันที่ 17 เมษายน 67 และผ่านมาไม่ถึง 2 อาทิตย์ก็ได้มีการปรับขึ้นอีก 6 บาทในวันที่ 27 เมษายน 67
นายกสมาคมการค้าผู้เลี้ยงไก่ไข่รายย่อยภาคกลางกล่าวว่า “สภาพอากาศร้อนส่งผลไก่ออกไข่ลดลง 10-15%” ซึ่งรวมแล้วแค่เดือนเมษายนเพียงเดือนเดียวมีการขึ้นราคาไข่ไก่ไปแล้ว 12 บาท ทำให้ราคาไข่ไก่เฉลี่ยในปัจจุบันอยู่ที่แผงละ 114 บาท หรือตกฟองละ 3.80 บาท
พริก: หนึ่งในวัตถุดิบหลักที่อยู่ในเกือบทุกเมนูของอาหารไทย สำนักข่าวมติชนรายงานว่า ราคาพริกเพิ่มสูงขึ้นจากเดิมมาก โดยเฉพาะพริกขี้หนูสวนที่ปัจุบันราคา 500 บาท/กก. (ราคาเมื่อวันที่ 11 พ.ค. 67) จากเดิมเพียงแค่ 250 บาทเท่านั้น ด้านแม้ค่าพริกเผยว่าขณะนี้พริกขาดตลาด ทำให้ต้องนำเข้าจากเวียดนามมาขายด้วย
เนื้อหมู: ตั้งแต่เดือนเมษายนราคาหมูหน้าฟาร์มมีการปรับขึ้นถึง 4 ครั้ง โดยที่ปรับขึ้น 12 บาทในเดือนเมษายน และปรับขึ้นอีก 2 บาทในเดือนพฤษภาคม รวมแล้วปัจจุบันราคาหน้าฟาร์มจะอยู่ที่ 80 บาท/กก.
มีสาเหตุหลักของการขึ้นราคามาจากต้นทุนอาหารที่ใช้เลี้ยงหมูเช่น ข้าวโพด กากถั่วเหลือง และข้าวสาลีราคาสูงขึ้น เพราะผลผลิตน้อยลงจากปัญหาสภาพอากาศแปรปวนที่กระทบการเพาะปลูก รวมถึงธัญพืชเหล่านี้เป็นวัตถุดิบที่ไทยต้องนำเข้าจากต่างประเทศจำนวนมหาศาล
เนื้อไก่: กลุ่มวิจัยเศรษฐกิจการปศุสัตว์ กองส่งเสริมและพัฒนาการปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์แจ้งปรับราคาไก่เนื้อเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 ให้ขึ้นมาอยู่อยู่ที่ 44 บาท/กก. จากเดิมราคา 43 บาท เนื่องปัญหาด้านต้นทุนอาหารที่ราคาสูงขึ้นเช่นเดียวกันกับกรณีของเนื้อหมู
นอกจากนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังพบว่า อากาศร้อนในช่วงที่ผ่านมาดันให้ราคาผักกว่า 10 ชนิดสูงขึ้นถึง 40% เช่น ผักชี ขึ้นฉ่าย แตงกวา ถั่วฝักยาว มะระจีน คะน้า ต้นหอม และถั่วฝักยาว ซึ่งกระทบค่าครองชีพเกือบทุกห่วงโซ่ในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นคนไทยกว่า 24 ล้านครัวเรือน ธุรกิจร้านอาหาร 6.8 แสนล้านราย หรือแม้แต่ธุรกิจแปรรูปอาหารจากผักและผลไม้กว่า 1,753 รายทั่วประเทศ
สนค.คาดการณ์เอาไว้ว่า แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนพฤษภาคม 2567 มีโอกาสที่จะปรับตัวสูงขึ้น โดยมีสาเหตุสำคัญจากพืชผลทางการเกษตรหลายชนิดขึ้นราคา เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดและขาดแคลนน้ำในบางพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยด้านราคาไฟฟ้า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าทำให้ต้นทุนการนำเข้าสูงขึ้น
จึงดูเหมือนว่าเงินเฟ้อลดและอาหารราคาถูกลงจะมีโอกาสเป็นไปได้อยากมากๆ หากเรายังต้องเผชิญกับปัญหาสภาพอากาศแปรปรวนที่ทำให้อากาศที่ร้อนจัดและขาดแคลนน้ำอยู่แบบนี้
คำตอบคือ ‘ไม่เสมอไป’ เพราะคำว่า สภาพอากาศแปรปรวน นั้นไม่ได้หมายถึงแค่การที่โลกมีอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเหมารวมความแปรปรวนทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ เช่น อากาศร้อนจัดในหน้าฝน เสี่ยงต่อการเกิดโรคเชื้อราในพืช ก็มีส่วนทำให้ผลผลิตน้อยลงได้เหมือนกัน
สำหรับประเทศไทยแล้วจึงไม่ใช่เพียงแค่หน้าร้อนเท่านั้นที่ผลผลิตทางการเกษตรและปศุสัตว์จะลดลง แต่มีโอกาสสูงมากที่จะต้องเจอปัญหานี้ไปตลอดทั้งปี
ราคาอาหารแพง อาจเป็นสัญญาณเตือนที่เป็นรูปธรรมที่สุดให้คนไทยรู้ว่า โลกร้อน สภาพอากาศแปรปรวนนั้นส่งผลและเกี่ยวข้องกับชีวิตของเราโดยตรง และในอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้า หากเรายังไม่สามารถแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศได้ ราคาอาหารที่คนไทยในปี 2572 จะต้องกินข้าวจานละกี่บาท ?
จากการลองคำนวณคร่าวๆ ด้วยการใช้อัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ย 3% ต่อปีในการคาดการณ์ ‘ราคาต้นทุนข้าวกระเพราหมูสับไข่ดาว’ ในปี 2572 โดยสามารถแยกรายละเอียดราคาได้ดังนี้
*ปริมาณที่ใช้ต่อครั้ง หารด้วยราคาต่อหน่วย
รวมราคาต้นทุนในปี 2567 = 2.50 + 1.20 + 20 + 0.03 + 0.70 + 1.25 + 1.20 + 1.59 + 3.80 + 2.80 = 35.07 บาท
ใช้สูตรคำนวณมูลค่าในอนาคต (Future Value of Money): FV = PV(1+r)^n
ราคาต้นทุนข้าวกะเพราในปี 2572 = 35.07 × (1+0.03)^5
ราคาต้นทุนข้าวกะเพราในปี 2572 = 35.07 × 1.1592740743
ราคาต้นทุนข้าวกะเพราในปี 2572 ≈ 40.65
ดังนั้น ราคาข้าวกะเพราหมูสับไข่ดาว 1 จานในปี 2572 จะมีต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 40.65 บาท โดยการคำนวณจากการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 3% ต่อปีเป็นระยะเวลา 5 ปี ซึ่งยังไม่รวมต้นทุนด้านค่าแรง ค่าแก๊ส และค่าไฟ หากรวมทั้งหมดและบวกกำไรต่อจานแล้ว ทุกคนคิดว่า ข้าวกระเพราหมูสับไข่ดาวจานนี้จะมีราคาอยู่ที่เท่าไหร่กัน ?
*หมายเหตุ: อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยในระยะปานกลางเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1-3% อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย
#Disclaimer: เป็นเพียงการคำนวนเพื่อ *ประมาณราคาต้นทุนของข้าวกะเพรา 1 จาน ไม่ใช่ราคาที่ใช้ขายจริง* โดยอ้างอิงจากการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 3% ต่อปีเป็นระยะเวลา 5 ปี และปริมาณวัตถุดิบที่ใช้ในการทำข้าวกะเพราโดยเฉลี่ย (อาจเพิ่มหรือลดได้ ไม่ใช่ปริมาณที่ตายตัว)
ราคาต้นทุนแปรผันตามปัจจัยเช่นปริมาณการซื้อ แหล่งที่ซื้อ อัตราเงินเฟ้อ ราคาน้ำมันโลก การขนส่ง ฯลฯ การคำนวณนี้ไม่ใช่สูตรวิธีการปรุงข้าวผัดกะเพราทุกจานทั่วประเทศไทย
ปริมาณวัตถุดิบการทำกะเพราหมูสับไข่ดาว 1 จานอ้างอิงจากเว็บไซต์: www.wongnai.com, cooking.kapook.com
อ้างอิง: bot.or.th, oae.go.th, talaadthai
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด
ในสูตรคำนวณร้านค้าจริงๆ มันตกต้นทุนจานละ 15-20 บาทเองมั้ง
ไม่ได้แพงเหมือนเคสที่ยกมาเขียนในโพสต์
โดยเฉพาะร้านที่ขายกระเพราห่อ กระเพรากล่องสำเร็จ ที่ราคาขายหน้าร้านแค่ 25-30 บาทเองนะ แสดงว่าต้นทุนเพียงแค่ 10-15 บาทเท่านั้น