ปัจจุบันการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันสำหรับใครหลายคน โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้ออกบัตรหลายเจ้าเริ่มพิจารณาถึงผลกระทบจากกิจกรรมทางการเงินและการบริโภคในอัตราที่สูงขึ้นของผู้คน “TreeCard” ร่วมกับบริษัท Ecosia หนึ่งในผู้ออก “บัตรเครดิตรักษ์โลก” ที่ต้องการขับเคลื่อนวงการ FinTech กับแนวคิดที่ว่าสถาบันการเงินช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้
TreeCard คือ บริการบัตรเดบิต Mastercard เพื่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งใช้วัสดุ ไม้ เป็นวัสดุทดแทนในการผลิตบัตรเพื่อลดการใช้งานพลาสติก ก่อตั้งขึ้นโดย Jamie Cox นักธุรกิจชาวอังกฤษ ในปี 2020 โดยตัวบัตร TreeCard ทำมาจากต้นเชอร์รี่จากแหล่งปลูกที่ได้รับการรับรอง โดยต้นเชอร์รี่หนึ่งต้นสามารถผลิตบัตรเดบิตได้มากกว่า 300,000 ใบ และไม่ก่อให้เกิดมลพิษจากพลาสติก ต่างจากบัตรทั่วไปที่ใช้ฟิล์มพลาสติกหลาย ๆ ชั้นมาประกบกัน (Laminated Plastics) และไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ รวมถึงพลาสติกด้านในตัวบัตรก็ทำมาจากขวดรีไซเคิลด้วย
ทุกการชำระเงินด้วย TreeCard (ทุกการใช้จ่าย 48 ปอนด์) บริษัทนำเงินในส่วนของกำไร 80% จากบริษัทที่เรียกเก็บจากร้านค้าไปปลูกต้นไม้ เรียกได้ว่าทุกการรูดชำระเงินยังได้สมทบทุนปลูกป่าอีกด้วย
TreeCard ให้คำมั่นกับผู้ใช้งานว่าบริษัทจะไม่ลงทุนในกิจกรรมทางการเงินที่จะก่อให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่าหรือในเชื้อเพลิงฟอสซิลเด็ดขาด สร้างความเชื่อมั่นกับผู้ใช้ว่าทุกการใช้จ่ายนั้นจะนำไปช่วยโลกอย่างครบวงจร
ปัจจุบัน TreeCard ระดับ Beta เปิดให้บริการในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ครอบคลุมตัวบัตรและแอพลิเคชัน รองรับ Apple Pay, Google Pay และ Samsumg Pay ด้วย และสามารถใช้งานเป็น Virtual Debit Card ได้ ที่สำคัญ คือ ไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายเดือน รวมถึงค่า Loading fee และค่าธรรมเนียมสกุลเงินต่างประเทศ
โดยค่าธรรมเนียมเดียวที่เรียกเก็บคือค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนบัตรในกรณีที่บัตรของสูญหาย เสียหาย หรือถูกแฮ็ก โดยล่าสุดมีจำนวนลูกค้าที่ต่อคิวใช้งานมากกว่า 250,000 ราย และมีแผนจะขยายฐานผู้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง โดยปักหมุดยุโรปเป็นภูมิภาคถัดไป
การร่วมมือกับพันธมิตรรายสำคัญอย่าง Ecosia ยังช่วยสนับสนุนภารกิจของ TreeCard ให้แกร่งมากยิ่งขึ้น เดิมที Ecosia นั้นจะนำรายได้จาก Advertisement ไปปลูกต้นไม้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดยตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา Ecosia ได้ปลูกต้นไม้มากกว่า 150 ล้านต้นทั่วโลก และยังร่วมมือกับเครือข่ายองค์กรปลูกต้นไม้ในท้องถิ่นเพื่อสานต่อเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง
โดยในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2021 Ecosia ปลูกต้นไม้ไปแล้ว 9,000 ต้น และยังร่วมมือกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อสนับสนุนชาวสวนยางที่สนใจเปลี่ยนจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยวเป็นระบบวนเกษตรแบบยั่งยืน แทนการปลูกยางที่ส่งผลกระทบระยะยาวต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้สารเคมีเกษตรในปริมาณสูงมากกว่า ตามมาด้วยการตัดไม้ทำลายป่า ปัญหาแรงงาน การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
นอกจากนี้ตามที่กล่าวไปว่า TreeCard ยังผลักดันแนวคิดที่ว่าสถาบันการเงินช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้นั้น แล้วธนาคารมีส่วนอะไรกับการปล่อยมลพิษ ?
การบริโภคและการใช้ชีวิตประจำวันของเราไม่ว่าจะเป็น การกินอาหาร การคมนาคมขนส่ง หรือแม้แต่การเปิดไฟ เปิดแอร์ ล้วนสร้างมลพิษทั้งสิ้น และตัวแปรที่จะทำให้เราเข้าถึงกิจกรรมเหล่านี้ได้ก็คือเงิน นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่นการผลิตน้ำมัน โรงไฟฟ้า อุตสาหกรรม ซึ่งก็ต้องอาศัยเงินทุนจำนวนมหาศาลที่ออกมาจากระบบของธนาคาร หรือธนาคารปล่อยกู้ให้ ดังนั้นสถาบันการเงินเองก็มีส่วนที่จะต้องรับผิดชอบกับปัญหาสภาพอากาศที่เกิดขึ้น
จากสถิติในปีที่ผ่านมา ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกประมาณ 60 แห่งอัดฉีดเงินมากถึง 742,000 ล้านเหรียญสหรัฐในการจัดหาเงินทุนเชื้อเพลิงฟอสซิล โดย JPMorgan Chase เป็นธนาคารที่อัดฉีดเงินเข้าไปมากที่สุด
นอกจากนั้น JPMorgan Chase, Wells Fargo, Mizuho, MUFG และธนาคารในแคนาดาอีก 5 แห่งได้เพิ่มการจัดหาเงินทุนในอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลในปี 2020 ถึง 2021 อีกทางหนึ่ง ธนาคารในจีน ได้แก่ China Merchants Bank และ Ping An Group เป็นผู้นำในการสนับสนุนเงินทุนแก่อุตสาหกรรมถ่านหิน ในปีที่ผ่านมา
แม้ปัจจุบันธนาคารทั่วโลกจะให้คำมั่นที่จะช่วยแก้ไขปัญหาสภาพอากาศ แต่จากสถิติอาจจะบอกได้ว่าพวกเขาไม่ได้ทำมากเท่าที่ควร เพราะยังคงเป็นผู้สนับสนุนหลักในอุตสาหกรรมที่ปล่อยมลพิษ นี่ยังไม่นับรวมกับอุตสาหกรรมขนาดย่อมทั่วไป หรือการใช้ชีวิตประจำวันของมนุษย์ที่ธนาคารล้วนเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ดังนั้นในฐานะผู้ให้บริการทางการเงินธนาคารจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้
“เราไม่สามารถอยู่ในโลกที่เงินบำนาญของพวกเรา ธนาคารของเรา ลงทุนอย่างต่อเนื่องในกิจกรรมที่ทำลายโลก…การเงินเป็นแกนหลักโดยตรงในการควบคุมเศรษฐกิจและการใช้จ่าย หากเราสามารถท้าทายอุตสาหกรรมได้อย่างแท้จริง เราจะเริ่มสร้างความเปลี่ยนแปลง และTreeCard นับเป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค” Jamie Cox กล่าว
หาก TreeCard มีลูกค้าเยอะเท่าธนาคารใหญ่ ๆ ทั่วโลก เราก็จะสามารถช่วยลดปัญหาสภาพอากาศได้มากขึ้น เช่น หากมีลูกค้าเยอะเท่า JPMorgan Chase จะสามารถปลูกต้นไม้ได้ 4,300 ล้านต้นต่อปี หรือหากผู้ใช้งานเท่า Well Fargo พวกเขาจะปลูกต้นไม้ได้ถึง 2,400 ล้านต้นต่อปี TreeCard นับเป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค
คงเป็นเรื่องยากหากเราจะไม่กินเนื้อสัตว์ เดินไปทำงาน หรือปิดแอร์นอน เราคงไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมเราได้แบบเบ็ดเสร็จเพื่อช่วยโลก แต่สำหรับการใช้ TreeCard ก็เหมือนการใช้บัตรเดบิตทั่วไป ทำให้ผู้บริโภคเปิดใจที่จะใช้งานมากขึ้น ไม่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมอะไร ไม่ต้องลำบาก และเปลี่ยนความรับผิดชอบไปที่ธุรกิจและผู้ผลิตแทน
ในสัมภาษณ์ของ Jamie Cox และ CNBC เขาพูดถึงผู้คนมากมายที่เปลี่ยนพฤติกรรมของพวกเขาไปตามสิ่งแวดล้อม ซึ่ง Cox มองว่า TreeCard เป็นซุปเปอร์แอปฯ ที่เน้นเรื่องสภาพอากาศ ที่นอกจากติดตามธุรกรรมการใช้จ่ายของเราแล้ว ยังมีข้อมูลให้ผู้ใช้เห็นภาพว่าการใช้จ่ายของพวกเขาสามารถปลูกต้นไม้ได้กี่ต้น และสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับโลกได้มากแค่ไหน
ล่าสุด TreeCard ระดมทุนได้ 23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมี Valar Ventures ของ Peter Thiel เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุด นอกจากนั้นยังมี EQT, Seedcamp และ World Fund ร่วมลงทุนด้วย ซึ่งดีลที่เกิดขึ้นนั้นย้ำถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นจาก VC Investor ทั้งหลาย ในบริษัทหรือธุรกิจที่จัดการกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
จากข้อมูลของ Tech Nation เครือข่ายสตาร์ทอัพในสหราชอาณาจักร รายงานว่า เม็ดเงินที่ลงทุนในสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีเกี่ยวกับสภาพอากาศทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 111,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2564 โดยรวมแล้วการลงทุนใน Climate Tech คิดเป็น 15.3% ของการลงทุนทั้งหมดใน Tech Startup และ Scaleups ในปี 2021 และประเทศที่มีธุรกิจ Startup และ Scale Up ที่ทำเทคโนโลยีด้านสภาพอากาศมากที่สุดคือสหรัฐอเมริกา 14,300 ราย รองลงมาคือสหราชอาณาจักร 5,200 ราย
ทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจและเทรนด์ธุรกิจด้านสิ่งแวดล้อมที่ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคให้ความสำคัญมากขึ้น รวมถึงเม็ดเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
อ้างอิง : treecard , good-with-money
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด