3 ปัจจัยที่ทำให้ ‘สวีเดน’ กลายเป็นแหล่งบ่มเพาะ Startup ระดับโลก | Techsauce

3 ปัจจัยที่ทำให้ ‘สวีเดน’ กลายเป็นแหล่งบ่มเพาะ Startup ระดับโลก

ทำไมสวีเดนจึงประสบความสำเร็จอย่างมากในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการดิจิทัลสร้างและพัฒนาธุรกิจให้เติบโตได้ดี? ..แต่ไม่ใช่แค่ดีเฉย ๆ ดีจนติดระดับ Top ของโลก โดยข้อมูลจาก World Economic Forum ระบุ 3 ปัจจัยสำคัญที่หนุนให้สวีเดนกลายเป็นแหล่งบ่มเพาะ Startup ระดับโลก Photo : Unif, Pixabay

รู้หรือไม่ว่าสตาร์ทอัพอย่าง Spotify, Minecraft และ Candy Crush Saga กำเนิดมาจากประเทศใด?

คำตอบก็คือ ประเทศ ‘สวีเดน’ นั่นเอง

นอกจากนี้ Skype ก็มี Co-Founder มาจากประเทศสวีเดน และ SoundCloud ก็เริ่มก่อตั้งในกรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ก่อนที่ย้ายบริษัทมาอยู่ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมันในเวลาต่อมา

หากจะบอกว่าสวีเดนเป็นเหมือนบ้านของเหล่าบริษัทด้านเทคโนโลยีรายใหญ่ของทวีปยุโรป ก็ไม่ผิดนัก เพราะมีความเป็นรองจาก Silicon Valley เท่านั้น และมี Unicorn ที่เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีเกิดขึ้นมาจำนวนมาก คิดเป็นมูลค่านับพันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทำไมสวีเดนจึงประสบความสำเร็จอย่างมากในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการดิจิทัลสร้างและพัฒนาธุรกิจให้เติบโตได้? คงเป็นเพราะ 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่

อ่านรายละเอียดทั้งหมดได้จากบทความนี้ครับ

การเก็บภาษีที่สูง แต่ที่ผลตอบแทนที่ได้กลับมาก็สูงเช่นกัน

Photo : PYMNTS.com

จากงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุว่าประเทศที่มีรัฐบาลขนาดใหญ่และมีการเสียภาษีเป็นจำนวนมากจะทำให้เกิดผู้ประกอบการน้อยลง แต่สวีเดนไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะธุรกิจด้านเทคโนโลยีในสวีเดนได้รับประโยชน์จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพและสังคม ซึ่งสามารถใช้บริการได้อย่างเต็มที่

โครงสร้างพื้นฐานอย่างอินเทอร์เน็ต ก็ถือว่าดีมาก เห็นได้จากความเร็วอินเทอร์เน็ตเฉลี่ยสูงกว่าเพื่อนบ้านอย่างนอร์เวย์และเกาหลีใต้อีกด้วย

ปัจจุบัน อินเทอร์เน็ตบรอดแบรนด์ Fiber optic ความเร็วสูงถึง 100 เมกะบิตต่อวินาที ครอบคลุมพื้นที่ของสวีเดนมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์แล้ว และรัฐบาลสวีเดนเตรียมวางแผนขยายพื้นที่ที่อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงครอบคลุมพื้นที่สวีเดน 90 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2020 การวางแผนดังกล่าวทำให้ได้รับการตอบรับเป็นจากประชาชนเป็นอย่างดี ซึ่งทุกวันนี้ ประชากรมากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ในสวีเดนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ขณะที่สหรัฐอเมริกามีประชากรเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอยู่ที่ 84 เปอร์เซ็นต์

Sebastian Siemiatkowski CEO ของ Klarna สตาร์ทอัพด้าน E-Commerce ที่มีมูลค่าบริษัทสูงสุดในยุโรป เริ่มเขียนโปรแกรมตั้งแต่อายุ 10 ขวบ / Photo : affarsvarlden.se

ที่สำคัญ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สวีเดนมีนโยบายสนับสนุนด้านเทคโนโลยี ในยุค 1990 รัฐบาลสวีเดนมีนโยบายอุดหนุนให้ทุกบ้านซื้อคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือ PC อีกด้วย

โดย Sebastian Siemiatkowski CEO และ ผู้ก่อตั้งของ Klarna สตาร์ทอัพด้าน E-Commerce มูลค่า 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึงกับให้เครดิตนโยบายดังกล่าว โดยระบุว่าเป็นนโยบายที่มีวิสัยทัศน์มาก ทำให้เขาสามารถเขียนโปรแกรมได้ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ

ทั้งหมดที่เล่ามา ทำให้ไม่แปลกใจเลยที่ประเทศสวีเดนติด Top 5 ของรายงานที่ชื่อว่า “The Global Competitiveness Report 2017” โดยในรายงานระบุว่าสวีเดนเป็นประเทศทีมีสภาพแวดล้อมเอื้อต่อเศรษฐกิจในระดับจุลภาคเป็นอย่างดี

โดยนโยบายด้านสุขภาพที่ให้แก่ประชาชนแบบฟรี ๆ และให้เรียนถึงระดับสูง ๆ ได้นั้น มาจากภาษีของประชาชนที่จ่ายให้แก่ภาครัฐ โดยให้สูงกว่าประเทศอื่น ๆ ถึง 60 เปอร์เซ็นต์

ขณะที่ปัจจัยทางด้านภาษีที่ The Global Competitiveness Report 2017 ระบุว่าเป็นกำแพงสำหรับการทำธุรกิจในสวีเดน แต่รัฐมนตรีกระทรวงผู้ประกอบการและนวัตกรรมอย่าง Mikael Damberg ระบุว่านโยบายการจัดวางระบบเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคม (Social Safety Net) จะส่งผลให้ผู้ประกอบการมีอิสระที่จะทำธุรกิจที่มีความเสี่ยงได้มากขึ้น

ระบบเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคม (Social Safety Net) หมายถึง ระบบที่คอยรองรับประชาชนที่ตกจากตาข่ายความปลอดภัยทางสังคมทั้ง 3 ชั้นนั้นเพื่อเป็นตาข่ายขั้นสุดท้ายที่คอยรองรับประชาชนที่ประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ โดยจะมี 3 ชั้นด้วยกัน ได้แก่ ระบบประกันสังคม (Social Security System), ระบบการออมแบบผูกพันโดยบังคับ (Compulsory Contractual/Saving) และ ระบบการออมแบบผูกพันโดยสมัครใจ (Voluntary Contractual Saving)

โดยเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคม (Social Safety Net) ที่เยอรมันมีให้แก่ประชาชน ที่บางประเทศไม่มี ก็อย่างเช่น การให้สิทธิ์แก่บิดาเพื่อลาไปดูแลบุตร (Paternity Leave) ซึ่งปกติจะมีแต่การให้สิทธิ์แก่มารดาเพื่อลาไปคลอดบุตร (Maternity Leave) ซึ่งเป็นสิทธิที่เปิดกว้างทั้งผู้หญิงและผู้ชาย และสร้างความมั่นใจและความรู้สึกปลอดภัยให้แก่ประชาชนมากขึ้น

การผ่อนคลายกฎระเบียบต่าง ๆ

Photo : Melker Dahlstrand, Sveriges riksdag

ความสำเร็จของสวีเดนในฐานะเป็น Hub ของ Tech Startup ถือเป็นส่วนหนึ่งของภาพกว้างๆ ของเศรษฐกิจในประเทศสวีเดนที่เริ่มปฏิรูปเศรษฐกิจตั้งแต่ยุค 1990 หลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในช่วงปี 1990-1994

หลายคนคงแปลกใจว่าสวีเดนมีวิกฤติทางการเงินด้วยหรือ? เพราะถือเป็นประเทศต้นแบบด้านรัฐสวัสดิการและมีธรรมาภิบาลดีที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง ถือเป็นจุดเด่นหนึ่งของสวีเดนเลยก็ว่าได้

แต่จุดเด่นดังกล่าวเอง ส่งผลให้สวีเดนกลายสภาพมาเป็นประเทศที่มีหนี้สาธารณะที่สูงมานานหลายสิบปี

จนเมื่อประมาณปลายปี ค.ศ.1980 สวีเดนได้เริ่มคลายความเข้มงวดที่มีต่อสถาบันทางการเงินหลังจากคงอยู่มานานถึง 50 ปี ผลก็คือสถาบันทางการเงินปล่อยกู้ให้กับภาคธุรกิจและประชาชนอย่างคะนองมือเนื่องจากไม่สามารถปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงได้

สินทรัพย์ต่าง ๆ ในช่วงนั้นราคาทะยานขึ้นสูงอย่างประวัติการณ์ ขยายตัวในลักษณะของฟองสบู่ พอฟองสบู่ขยายตัวใหญ่ขึ้นมาก ๆ เข้า

ในที่สุดฟองสบู่มันก็แตกในที่สุด

สินทรัพย์ต่าง ๆ ลดมูลค่าลงกลับกลายเป็นของด้อยค่าไปในทันที  เมื่อการเก็งกำไรไม่ได้ผลนักธุรกิจและประชาชนก็ต่างไม่มีเงินใช้หนี้ที่กู้มา

ธนาคารก็เริ่มล้มลงเป็นแถบ ๆ และลุกลามกลายเป็นวิกฤติทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยน

ในที่สุดจึงเห็นได้ว่าการที่ฝ่ายบริหารให้อิสระกับภาคธุรกิจมากเกินไปโดยไม่มีการควบคุมมักจะทำให้การจัดการมวลรวมของระบบธุรกิจขาดประสิทธิภาพ ดังนั้นภายหลังการเกิดขึ้นของวิกฤตเศรษฐกิจ ภาครัฐก็เข้ามาจัดการระบบเศรษฐกิจให้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นโดยที่ไม่ผูกขาดเกินไปหรือปล่อยจนเกินไป

โดยเริ่มเปลี่ยนจากบริการของภาครัฐที่ให้อยู่เจ้าเดียว มาเป็นเปิดตลาดให้เอกชนเข้าร่วมให้บริการและเพื่อให้เกิดการแข่งขันกันของภาคเอกชนด้วยกัน

บริการสาธารณะที่เคยถูกผูกขาด ก็ถูกยกเลิกการควบคุมจากภาครัฐทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นแท็กซี่, ไฟฟ้า, โทรศัพท์, รถไฟ และบริการการบินภายในประเทศ แม้แต่บริการสาธารณะอื่น ๆ อย่าง บ้านพักคนชรา, โรงเรียนระดับประถม, โรงเรียนระดับมัธยม และ โรงเรียนสำหรับเด็กก่อนวัยเรียน ก็ถูกเปลี่ยให้บริษัทเอกชนเข้ามาจัดการและบริหารทั้งหมด

ทำให้ในปี 1993 สวีเดนออกกฎหมายที่ชื่อว่า Competition Act เพื่อป้องกันการควบรวมกิจการขนาดใหญ่และป้องกันการเกิดการแข่งขันทางธุรกิจที่รุนแรง

อีกทั้งการเก็บภาษีเงินได้สำหรับนิติบุคคล (องค์กร ห้าง ร้าน ธุรกิจต่าง ๆ) ก็ลดลงจาก 52 เปอร์เซ็นต์ (ในปี 1990) ปัจจุบันเหลือเพียง 22 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของสหรัฐอเมริกาที่ตอนนี้อยู่ 38.9 เปอร์เซ็นต์

นักวิชาการชาวสวีเดนได้ออกรายงานโดยระบุว่าสวีเดนมีผู้ประกอบการมากกว่าสหรัฐอเมริกาแล้ว โดยรายงานระบุว่าธุรกิจในสวีเดนที่มีอายุบริษัทไม่เกิน 5 ปี คิดเป็น 55 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจทั้งหมดในประเทศ

ในขณะเดียวกันอัตราส่วนของคนรุ่นใหม่ที่ทำงานในสหรัฐอเมริกาก็ลดลงจากประมาณ 45 เปอร์เซ็นต์ เหลือไม่ถึง 40 เปอร์เซ็นต์แล้ว

นอกจากนี้รัฐบาลสวีเดนยังทางช่วยเหลือบริษัทด้านเทคโนโลยี ที่กังวลว่าการเก็บภาษีในอัตราที่สูงเกินไปจะทำให้บริษัทตัวเองไม่สามารถดึงดูดในนักลงทุนในระดับโลกได้ ด้วยการลดภาษีสำหรับเหล่าบริษัท Startup (ที่ก่อตั้งมาไม่เกิน 10 ปี มีพนักงานไม่เกิน 50 คน และมีรายได้-งบดุลไม่เกิน 80 ล้านโครนาสวีเดน) ซึ่งรัฐบาลประเทศต่าง ๆ มักจะใช้วิธีนี้เพื่อดึงดูดธุรกิจขนาดเล็ก หรือ Startup ที่มีความสามารถแต่ยังไม่แข็งแรงพอที่จะสู้กับบริษัทใหญ่ได้

ความเชื่อมั่นจากจุดย่อย ๆ กลายเป็นความเชื่อมั่นในภาพใหญ่

Photo : City Press

องค์ประกอบของความสำเร็จของ Startup ในสวีเดน อาจมาจากองค์ประกอบที่มีคุณภาพในสังคมสวีเดนอันหนึ่ง นั่นคือเรื่องของ “ความเชื่อมั่น” (Trust)

ผลการศึกษาจากหน่วยงานทีได้รับทุนสนับสนุนจาก EU ระบุว่า สวีเดนเป็นรองจากเดนมาร์กในเรื่องของ  “Intrapreneurship” (ความเป็นผู้ประกอบการภายใน)

Intrapreneurship (ความเป็นผู้ประกอบการภายใน) หมายถึง การร่วมมือและสร้างสรรค์ผลงานให้กับองค์กรโดยเริ่มมาจากตัวของพนักงานเองเลย

โดย Intrapreneurship จะประสบผลสำเร็จเมื่อเกิดความเชื่อมั่นในระดับสูงสุดตั้งแต่ระดับบุคคลจนถึงระดับสังคม

ซึ่งพนักงานในองค์กรจะเริ่มมีความคิดริเริ่มหรือความคิดสร้างสรรค์เมื่อพวกเขาได้รับความไว้วางใจจากนายจ้างหรือผู้นำองค์กร พร้อมกับมีอิสระจากบทบาทของตนเองมากขึ้น ซึ่งจะทำให้พนักงานมีแนวโน้มทำงานร่วมกันได้มากขึ้นเมื่อพวกเขาไว้ใจเพื่อนร่วมงานของพวกเขา

ผลการศึกษาดังกล่าวยังชี้ให้เห็นด้วยว่า บรรดานายจ้างหรือบรรดาผู้ประกอบการต่าง ๆ  จะมีความเชื่อมั่นต่อลูกน้องมากขึ้น เมื่อความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจภาพรวมอยู่ในระดับที่สูงอีกด้วย

เรียบเรียงข้อมูลจาก j21 Investmentory และ World Economic Forum

สรุป

“ความเชื่อมั่น” ที่เข้มแข็ง หยั่งรากลึกลงไปในวัฒนธรรมของสวีเดน คงเป็นเหตุผลว่าทำไมชาวสวีเดนส่วนใหญ่เชื่อมั่นในการใช้จ่ายเงินของรัฐบาลตัวเอง รวมไปถึงการลงทุนให้กับเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคม (Social Safety Net) ที่เข้มแข็ง ทำให้พนักงานรู้สึกปลอดภัยในระหว่างที่ทำงาน

นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นในระดับสูงก็ยังเกิดมาจากการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบการ พร้อมกับการสร้างให้บริษัทใหญ่ไว้ใจต่อบริษัท Startup เล็ก ๆ  ที่มากพอต่อการทำงานร่วมกันและแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันอีกด้วย

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

เปิดกลยุทธ์ธุรกิจยุคใหม่ พลิกข้อมูล สู่ขุมทรัพย์ด้วย analyticX ด้วยพลัง Telco Data Insights และ GenAI

ยุคนี้ใคร ๆ ก็พูดถึง Data แต่จะใช้ Data อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่างหากคือกุญแจสำคัญ! ในสัมมนาสุดเอ็กซ์คลูซีฟ "Unlocking Data-Driven Decisions with Telecom Data Insights" ที่จั...

Responsive image

‘UOB Sustainability Compass’ เครื่องมือออนไลน์ด้านความยั่งยืน หนุน SMEs เปลี่ยน Vision เป็น Action

บทสัมภาษณ์ คุณอัมพร ทรัพย์จินดาวงศ์ และคุณพณิตตรา เวชชาชีวะ เกี่ยวกับ ‘UOB Sustainability Compass’ เครื่องมือออนไลน์ที่เข้ามาช่วย SMEs เริ่มดำเนินการด้านความยั่งยืนอย่างเข้าใจและไม...

Responsive image

Intel พลาดอะไรไป ? ทำไมถึงต้องเปลี่ยน CEO กะทันหัน ? ถอดบทเรียนราคาแพงจากยุค Pat Gensinger

การ ‘เกษียณ’ อย่างกะทันหันของ Pat Gelsinger อดีตซีอีโอ Intel ในต้นเดือนธันวาคม สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ววงการเทคโนโลยี หลายฝ่ายมองว่าเป็นการบีบให้ออกจากบอร์ดบริหาร อันเนื่องมาจากผล...