หลังจากที่เมื่อวาน aCommerce เพิ่งประกาศว่าได้รับเงินระดมทุนในระดับ Series B ไปกว่า 2.14 พันล้านบาท เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมค้าปลีกและ E-Commerce ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วันนี้ aCommerce ก็ได้ออกมาเปิดเผยถึงแนวโน้มของ E-Commerce ในปี 2018 พร้อมประกาศกลยุทธ์ของบริษัท รวมถึงถกประเด็นวิวัฒนาการอุตสาหกรรมค้าปลีกสำหรับแบรนด์ในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับแบรนด์ partner ของ aCommerce ด้วย
นายพอล ศรีวรกุล หนึ่งในผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท aCommerce และนายทอม ศรีวรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้เผยถึงเทรนด์ในปีหน้าว่า จะเริ่มเข้าสู่ยุค New Retail เมื่อความต้องการของลูกค้าเปลี่ยนไป และมีสิ่งที่ต้องตอบโจทย์เพิ่มมากขึ้น ผู้เล่นต่างๆ ต้องปรับตัวให้ทันกับยุคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
"ดิจิทัลกำลังขับเคลื่อนประพฤติกรรมการใช้จ่ายส่วนใหญ่และโมเดลธุรกิจของเรามีเป้าหมายที่จะสนับสนุนและผลักดันแบรนด์เพื่อให้พวกเขาประสบความสำเร็จ"
รายได้ของบริษัท aCommerce ประเทศไทยโต 250% YoY และเราได้เปิดโกดังเก็บสินค้
"เราอาจไม่ได้มีโกดังเก็บสินค้าที่ใหญ่ที่สุด แต่เรามีการปฏิบัติการที่มี ประสิทธิภาพที่สุดเพราะเราให้ ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีที่ ดีที่สุด" คุณเพ็ญสิริ เสถียรวงศ์นุษา ประธานเจ้าหน้าที่ร่วมบริหาร บริษัท aCommerce ประเทศไทยกล่าว
ไม่ว่าผู้บริโภคจะสั่งซื้อสินค้าหรือรับสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์หรือไม่ ก็มักจะเริ่มค้นหาสินค้าจากช่องทางดิจิทัลก่อนเสมอ ทั้งเปรียบเทียบราคา ศึกษาข้อมูล หรือแม้กระทั่งซื้อผ่านทางออนไลน์เลย
ในอนาคตอันใกล้จะไม่มีการแบ่งแยกธุรกิจออนไลน์หรือออฟไลน์แบบชัดเจนอีกต่อไป แต่จะรวมกันกลายเป็น Omni-Channel คือผู้ให้บริการสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทั้งสองช่องทาง ยกตัวอย่างเช่น เมื่อลูกค้าซื้อของออนไลน์ ก็สามารถไปรับของที่สถานที่ใกล้เคียง หรือสามารถส่งจากร้านที่มีสาขาใกล้บ้านมากที่สุดก็ได้
การขายสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการและความชอบของลูกค้าแต่ละรายมากที่สุด จากการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการค้นหาหรือซื้อสินค้า และเข้าถึงลูกค้าได้บนทุกๆ แพลตฟอร์ม
"ในฐานะที่เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้
แบรนด์ Partner ของ aCommerce อย่าง DSG โดยคุณ Justine Wang, Group COO ก็ได้ออกโรงชูแบรนด์ 'Kira Kira' ที่ตอบสนองความต้องการในตลาดแม่และเด็ก โดยชี้ว่ากลุ่มสินค้านี้ กำลังเป็นที่ต้องการบน E-Commerce เป็นอันดับหนึ่ง เนื่องจากกลุ่มคุณแม่ที่ไม่มีเวลาออกไปซื้อของข้างนอก จะต้องการสินค้าคุณภาพดีและมีความสะดวกสบายในการซื้อของบนออนไลน์ จากรายงานเปิดเผยว่า คุณแม่ในประเทศแถบเอเชียสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ให้ลูกมากกว่าประเทศในยุโรปหรืออเมริกาเสียอีก นอกจากกลุ่มสินค้าแม่และเด็กแล้ว กลุ่มสินค้าเครื่องสำอางค์และ beauty ก็มาแรงเช่นกัน
นอกจากนี้บริษัท aCommerce ยังเผยถึงกลยุทธ์ของบริษัทหลังจากได้รับเงินระดมทุนรอบใหม่ว่าจะนำไปพัฒนาเทคโนโลยี และขยายระบบ operation ให้มีสเกลที่ใหญ่มากขึ้น เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าและตอบโจทย์ให้ครอบคลุม โดย business model ของ aCommerce คือการสร้าง Unified Commerce Platform ที่ให้บริการแบบ end-to-end คือครอบคลุมตั้งแต่ ให้คำปรึกษา ทำ marketing พัฒนาด้าน IT บริการลูกค้า ไปจนถึงการจับเก็บสต้อกสินค้าและขนส่งไปถึงปลายทาง โดยยกโมเดลธุรกิจในแบบ “Business-to-All” (B2A) มาใช้ เพื่อให้แบรนด์ต่างๆ ที่กำลังมองหาวิธีการทำธุรกิจแบบหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นแบบออนไลน์ หรือออฟไลน์ สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ได้ ทั้ง กลุ่มธุรกิจ (B2B) ร้านค้าที่ขายของต่อรัฐบาล (B2G) และลูกจ้างบริษัท (B2E)
“การมีแค่เว็บไซต์ในช่วงเวลาที่ภูมิภาคนี้กำลังก้าวเข้าสู่โลกออนไลน์นั้น อาจจะเพียงพอ” นายพอล กล่าว “อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน แบรนด์เริ่มตระหนักถึงการให้บริการที่เชื่อมต่อจากหลากหลายช่องทางและความสำคัญของข้อมูล เพื่อที่จะอยู่รอดในอุตสาหกรรมการค้าปลีก”
ในปีนี้ B2B มีสัดส่วนสูงถึง 30% แล้ว โดย aCommerce เขื่อว่าในอีกหนี่งปีข้
มองว่าจะมีผู้เล่นรายใหญ่เข้ามาเยอะขึ้
ในประเทศไทย 95% ของยอดขายจาก E-Commerce มาจากผู้
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด