ก่อนหน้านี้ทาง Techsauce ได้นำเสนอเรื่องราวความร่วมมือระหว่าง AIS และแมสซาชูเส็ทส์ (Massachusetts Institute of Technology: MIT) ในการเข้าเป็นสมาชิกโปรแกรม MIT Industrial Liaison Program โดย MIT เป็นสถาบันการศึกษาระดับโลก ที่มีศูนย์วิจัยทางด้านเทคโนโลยีรวมไปถึงนวัตกรรมใหม่ ๆ อีกทั้งยังมีการแลกเปลี่ยนกลุ่ม startup ที่ AIS ให้การสนับสนุนด้วย วันนี้ทาง Techsauce มีโอกาสเข้าร่วมงาน MIT startup Ecosystem Conference 2018 ที่จัดขึ้นที่ MIT กรุง Boston ซึ่งเป็นงานที่เชื่อมโยง startup ของทาง MIT ที่เน้นด้าน DeepTech อาทิ AI สาย Manufacturing, data เป็นต้น มานำเสนอผลงานกับองค์กรชั้นนำจากทั่วทุกมุมโลก แน่นอนว่าเราไม่พลาดที่จะสรุปความรู้และแนวคิดดีๆ ภายในงานมาฝากผู้อ่านกัน ก่อนอื่นเราไปพูดคุยกับบุคคลที่ผู้อ่านหลายๆ ท่านในวงการ startup ไทยเรารู้จักกันดี ตัวแทนจาก AIS ถึงที่มาที่ไปกับ ดร. ศรีหทัย พราหมณี Head of AIS The startUp (ทั้งนี้ขออนุญาตเรียกสั้น ๆ ว่า ดร.ออน นะคะ)
ดร. ออน : เมื่อปีที่ผ่านมา AIS Academy ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่สนับสนุนและพัฒนาทักษะภายในองค์กร ได้ทำ MOU ร่วมกับ MIT เพื่อความร่วมมือทางด้านการวิจัยนวัตกรรมและพัฒนา startup ซึ่งตัวความร่วมมือนี้ครอบคลุมถึง startup Exchange Program ที่เปิดโอกาสให้ AIS ได้เข้าไปเรียนรู้แนวคิดและกระบวนการสนับสนุน startup ของ MIT
นอกจากนี้ ผู้บริหารยังเล็งเห็นถึงความสำคัญที่ต้องส่งเสริม startup ecosystem ของไทยเราให้แข็งแรง ซึ่ง AIS ก็เป็นองค์กรหลักที่มี startup ใน Portfolio ที่มีศักยภาพหลายท่านด้วยกัน เมื่อ AIS Academy มอบโอกาสให้กับพนักงานแล้ว ยังส่งต่อโอกาสนี้ให้กับ startup ใน Portfolio ของ AIS ที่ทำงานใกล้ชิดและมีส่วนร่วมส่งต่อความรู้ให้กับ startup รุ่นหลังอีกด้วย ก็ ซึ่งคุณโจ้ CEO-QueQ และคุณเอก CEO-Dreammaker ได้รับการคัดเลือกให้เข้ารับโอกาสในครั้งนี้ ทั้งสองท่านได้รับการเรียนรู้บ่มเพาะจาก AIS ตั้งแต่ปี 2015 จนปัจจุบันสามารถประกอบธุรกิจได้ แล้วพวกเขาก็กลับมาช่วย startup รุ่นใหม่ๆ ในฐานะ AIS The Startup Committee การพาไปท่านทั้งสองไปเรียนรู้กระบวนการคิดของ MIT ทำให้กลับมาถ่ายทอดและให้คำแนะนำแก่ startup รุ่นใหม่ที่จะเข้าร่วมกับ AIS ได้ต่อไป
สำหรับ ดร.ออน เธอกล่าวว่าได้รับความรู้มากมายจากงานดังกล่าว โดยขอสรุปเด่นๆ ออกมาด้วยกัน 4 ข้อหลักคือ
ในมุมมองของคุณโจ้ รังสรรค์ พรมประสิทธิ์. CEO บริษัท YMMY ผู้ก่อตั้งและให้บริการแอปพลิเคชัน QueQ คุณโจ้กล่าวว่า ที่ MIT มี startup ด้าน DeepTech มากมายทั้งสาย Data, Manufacturing, AI ซึ่งจะเห็นว่าถ้าขาดซึ่งหน่วยงานภาคการศึกษา หรือองค์กร startup ในกลุ่มนี้ก็สามารถเกิดได้ง่ายๆ และเป็นจุดเด่นของทาง MIT ที่สามารถทำงานได้อย่างสอดประสานกันตั้งแต่แรก โครงการต่างๆ ที่ออกจากห้องวิจัยของที่นี่ ได้รับโจทย์ที่ชัดเจนและมีองค์กรต่างๆ มาสนับสนุนและรองรับ ทำให้โครงการเหล่านี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้จริง หนึ่งใน startup ที่ชื่นชอบคือ PathAI ที่นี่เรียกว่าการใช้ AI นั้นเป็นเรื่องปกติของ startup ที่สหรัฐอเมริกาไปแล้ว คือ ทุกๆ startup ที่มีเดต้า ก็นำเอา AI เข้ามาประยุกต์เสริมขึ้นไป โดยเอา Data เหล่านั้นมาวิเคราะห์และคาดการณ์ต่อ
สำหรับ PathAI คือ การนำใช้ AI มาใช้ในการวินิจฉัยโรคแทนคุณหมอ ซึ่งเขาก็มีการคุยกันในวงการแพทย์ว่าโรคหลายๆ โรคมันมีรูปแบบที่สามารถคาดการณ์ได้ แทนที่จะใช้คำวินิจฉัยจากหมออย่างเดียว จริงๆ AI สามารถเข้าไปช่วยได้ ซึ่งบางครั้งหมอต้องนำข้อมูลหลายๆ ตัวมาวิเคราะห์หลายวันกว่าจะทราบผล แต่ว่าถ้าเราใช้ AI ใช้ฐานข้อมูลที่ครบถ้วนมาวิเคราะห์ อาจจะใช้เวลาแค่ 1-2 ชั่วโมงหรือถ้าเก่งมากๆ อาจจะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็ทราบผลการวินิจฉัยออกมา เป็นต้น
ในฝั่งของคุณเอก เอกสิทธิ์ เดี่ยววณิชย์ CEO แห่ง Dreamaker กล่าวว่าสิ่งหนึ่งที่เขาสัมผัสได้จาก startup ต่างๆ ในงาน คือ startup เหล่านี้เป็นคนที่รู้ลึกรู้จริง ผมคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก ที่เราควรค้นหาความถนัดของเราจริงๆ นั้นคืออะไร ไม่อยากให้คิดแค่ว่ามีไอเดียแล้วทำ เห็นแค่โอกาสครับ แต่ปรากฎว่าเราไม่ได้ชอบจริงๆ ไม่ได้มี Insight ในเรื่องนั้นๆ เมื่อลงมือทำแล้วจึงไม่สามารถทำได้จนสุด เพราะมันไม่ใช่ตัวเรา จึงอยากให้ทบทวนสิ่งที่เราทำอยู่หรือกำลังจะทำ อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ ที่ MIT มีคำว่า Tough Tech ซึ่งหมายถึงเทคโนโลยีที่อยู่ในขั้นต้นๆ และยากในการพัฒนาเป็นนวัตกรรมเพื่อใช้งานเชิงพาณิชย์ อาจต้องใช้เวลา 10 ปีขึ้นไป เพื่อพัฒนาตรงนี้ ซึ่งพวกนี้เป็นสิ่งที่สามารถเห็นได้ในภาคการศึกษา หากเราเริ่มทำ startup ด้วย Service ที่ธรรมดาเกินไป ก็ไม่สามารถสร้าง Powerful Impact ได้ ซึ่งเราสามารถไปได้ลึกกว่านั้นโดยเริ่มจากการขุดความรู้สมัยเรียนให้ลึกซึ้งมากขึ้น แล้วเอาตรงนั้นมาต่อยอดเป็นธุรกิจ
อยากเห็นการเติบโตและการสนับสนุน startup สาย Deep Tech ในไทยมากขึ้น อยากให้ดูการสร้าง Deep Tech Ecosystem ในต่างประเทศ ว่าพวกเขาทำอย่างไร และมีกระบวนการอย่างไร ศึกษาว่า Ecosystem ของเขาประกอบด้วยอะไร เป็นอย่างไร บุคลากรที่จำเป็นใน Deep Tech Ecosystem อยู่ที่ไหน จะทำงานร่วมกับพวกเขาได้อย่างไร รวมไปถึง Facility อย่างห้อง Lab ในต่างประเทศที่ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมดังกล่าวได้นั้นเป็นอย่างไร ส่วนในไทยยังปิดอยู่ในภาคการศึกษา ซึ่งเรายังไม่ค่อยเห็นความร่วมมือในส่วนนี้ หรือมีแล้วแต่ยังไม่สามารถทำให้เกิดเป็นธุรกิจจริงได้มากนัก
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด