งาน AI Dev Summit ของ DeepLearning.ai ซึ่งจัดขึ้นที่นิวยอร์กเป็นปีแรก ได้กลายเป็นเวทีสำคัญที่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในแวดวงเทคโนโลยี โดยหนึ่งในเสียงที่น่าสนใจที่สุดในงานคือ Andrew Ng ผู้ก่อตั้ง Google Brain และผู้บุกเบิกวงการ Deep Learning ที่ยังคงมีบทบาทมหาศาลต่อทิศทาง AI โลก
สำนักข่าว ZDNET ได้สัมภาษณ์ Andrew Ng แบบเจาะลึก และในบทความนี้ Techsauce สรุปประเด็นสำคัญในการสัมภาษณ์ครั้งนี้ ที่ทุกคนในสายเทคฯ รวมถึงคนทำงานทุกอาชีพควรเข้าใจ เพราะ AI กำลังเปลี่ยนทั้งวิธีทำงาน อาชีพ ทักษะที่ต้องมี และแม้แต่กฎกติกาสังคม

Andrew Ng ย้ำชัดว่า การเขียนโค้ดจะไม่หายไป แต่เปลี่ยนบทบาท เพราะ AI ช่วยเขียนโค้ดได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ทักษะสำคัญกลับยิ่งชัดเจนขึ้น คือทักษะในการบอกคอมพิวเตอร์ว่า ‘ต้องการอะไร’
นี่เหมือนการรู้คณิตศาสตร์พื้นฐาน ทุกคนไม่ต้องเป็นนักคณิตศาสตร์ แต่ต้องใช้เลขเป็น การเขียนโค้ดก็จะเป็นแบบนั้น
โดยในมุมของ Ng เขามองว่า ต่อจากนี้ syntax ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป แต่สิ่งสำคัญคือความสามารถในการสื่อสารกับ AI ให้เข้าใจโจทย์ คนทุกสายอาชีพควรรู้วิธีใช้ AI coding แม้ไม่เป็นโปรแกรมเมอร์
นอกจากนี้ Ng ยังบอกว่า แม้ AI จะช่วยเขียนโค้ดแทนได้ แต่กระบวนการ vibecoding ยังต้องใช้พลังสมองเยอะ เพราะคนต้องเป็นคนคิดภาพรวม คิดไอเดีย คิด logic และกำหนดสิ่งที่ต้องการให้ AI เขียน แทนที่จะลงมือเขียนโค้ดเอง แต่กลับต้องลงแรงกับการคิดงานเชิงแนวคิด (conceptual thinking) มากขึ้น
หนึ่งในประโยคที่น่าสนใจที่สุดจากเวที AI Dev Summit ปีนี้ มาจาก Andrew Ng ที่บอกว่า “วันนี้การเขียนโค้ดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ แต่สิ่งที่ช้ากลายเป็น Product Management” และประโยคนี้เองที่สะท้อนภาพอนาคตของอาชีพนักพัฒนาได้ชัดที่สุด
Ng เห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ชัดเจนจากปรากฏการณ์ง่าย ๆ อย่างการใช้ AI coding ที่สามารถสร้างฟังก์ชัน ทำเว็บ หรือเขียนระบบพื้นฐานได้ภายในเวลาไม่กี่นาที ความเร็วระดับนี้ทำให้ปัญหาที่เคยเป็นเรื่องใหญ่อย่างการลงมือเขียนโค้ด แทบไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไป แต่กลายเป็นคำถามใหม่ที่ยากกว่าเดิมว่า เช่น เราควรสร้างอะไร และมันแก้ปัญหาให้ใคร
นี่คือเหตุผลที่ Ng เชื่อว่านักพัฒนายุคใหม่จะต้องก้าวข้ามบทบาทของ coder ไปสู่คนที่คิดงานเชิงกลยุทธ์มากขึ้น เมื่อ AI ทำงานทางเทคนิคแทนให้ นักพัฒนาจะกลายเป็นผู้กำกับทิศทางของซอฟต์แวร์ เป็นคนออกแบบประสบการณ์ และเป็นคนตัดสินใจความหมายที่แท้จริงของผลิตภัณฑ์
สิ่งที่เคยเป็นงานของทีม Product Management จะไหลเข้ามาอยู่ในความรับผิดชอบของวิศวกรด้วย เพราะวันนี้พวกเขาสามารถทำงานต้นแบบได้เองทั้งหมด ด้วยความเร็วที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือ บทบาทนี้ไม่ได้จำกัดไว้เฉพาะนักพัฒนามืออาชีพอีกต่อไป ผู้เชี่ยวชาญที่เข้าร่วมงานหลายคนชี้ให้เห็นแนวโน้มเดียวกันว่า AI กำลังเปิดประตูให้คนที่ไม่ใช่นักพัฒนา เช่น ครู แพทย์ นักบัญชี นักกฎหมาย สามารถสร้างเครื่องมือหรือแอปสำหรับงานเฉพาะของตัวเองได้ โดยไม่ต้องเรียนเขียนโค้ดแบบลึกซึ้งเหมือนในอดีต
AI จะเป็นคนลงมือเขียน ส่วนพวกเขาจะเป็นคนสั่ง คิด วางโครงสร้าง และทดสอบ ซึ่งทั้งหมดนี้คือการใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางนำทาง AI ให้สร้างสิ่งที่ตอบโจทย์วงการตนเองจริง ๆ และนี่คือหัวใจสำคัญที่ Ng เน้นย้ำว่าเป็นเหตุผลที่มนุษย์จะยังมีบทบาทในโลก AI อย่างยาวนาน นั่นคือ ความเข้าใจโลกของมนุษย์
เพราะ AI อาจเก่งเรื่องประมวลผลหรือวิเคราะห์ข้อมูล แต่ยังห่างไกลจากความสามารถในการเข้าใจความต้องการ ความกลัว ความฝัน หรือความซับซ้อนทางบริบทของผู้ใช้จริง ๆ นักพัฒนายุคใหม่จึงไม่ได้แข่งขันกับ AI ในการเขียนโค้ด แต่แข่งขันกันในความเข้าใจมนุษย์ ความเข้าใจธุรกิจ และความสามารถในการแปลงความคิดเหล่านั้นให้กลายเป็นสิ่งที่ AI สร้างต่อได้
ในมุมนี้ อนาคตนักพัฒนาไม่ได้หายไป แต่เปลี่ยนบทบาทไปอย่างมาก จาก coder > strategist > generalist และอาจขยายไปถึงคนทั่วไปที่ใช้ความเข้าใจในสาขาของตัวเองมาสร้างโซลูชัน นี่ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนยุคของนักพัฒนา แต่คือการเปลี่ยนโครงสร้างของการสร้างเทคโนโลยีทั้งหมด
หนึ่งในประเด็นที่ Andrew Ng พูดอย่างตรงไปตรงมาคือเรื่อง ความปลอดภัยและความกลัว ที่ถูกขยายใหญ่ในสังคม เขามองว่าการกำกับดูแล AI ไม่ควรถูกตีความเป็นการสร้างกำแพงกฎหมายที่รัดแน่นจนขัดขวางนวัตกรรม เพราะสุดท้ายสิ่งที่ต้องการไม่ใช่ AI ที่ถูกจำกัดจนไร้ศักยภาพ แต่เป็นสภาพแวดล้อมที่เปิดให้ทดลองได้อย่างปลอดภัย
Ng เชื่อในโมเดลของ sandbox หรือพื้นที่ทดลองที่มีการควบคุม ซึ่งเปิดโอกาสให้นักวิจัยและบริษัททดสอบระบบได้อย่างอิสระ โดยไม่ทำให้ผู้ใช้หรือสาธารณะเสี่ยงอันตราย เขาเตือนว่าการทำ red-teaming แล้วนำผลลัพธ์ไปกระพือข่าวในเชิงหวาดกลัว ไม่ได้ช่วยยกระดับความปลอดภัยจริง แต่กลับยิ่งทำให้ประชาชนเข้าใจผิดเกี่ยวกับความสามารถและความเสี่ยงของ AI มากกว่าเดิม
ด้านผู้เชี่ยวชาญสาย governance ก็เห็นสอดคล้องกัน โดยระบุว่าการกำกับดูแลที่ดีไม่ควรหมายถึงงานเอกสารล้นโต๊ะ หรือข้อกำหนดที่ทำให้สตาร์ทอัปทำงานไม่ได้ แต่ควรเป็นการสร้าง workflow ที่ช่วยให้บริษัทออกแบบ AI อย่างมีระบบตั้งแต่วันแรก ซึ่งเป็นประเด็นที่บริษัทเล็ก ๆ มักมองข้ามเพราะเร่งเติบโตจนลืมวางรากฐานด้านความปลอดภัย
คำถามใหญ่ของทุกประเทศคือ “เราควรออกกฎหมายแบบไหนถึงจะปลอดภัย โดยไม่ปิดกั้นโอกาสทางเทคโนโลยี?”
Ng ตอบคำถามนี้อย่างชัดเจนว่า การออกกฎที่มากเกินไป โดยเฉพาะกฎแบบครอบจักรวาล มีแนวโน้มทำให้ประเทศนั้นตามหลังทันที เพราะนวัตกรรมเคลื่อนที่เร็วกว่ากฎหมายเสมอ
เขามองว่าสหรัฐยังรักษาความยืดหยุ่นในระดับที่ดี และนั่นคือเหตุผลที่วงการ AI ของประเทศยังเดินหน้าได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เขายังเชื่อว่ากฎหมายบางประเภทควรมีอย่างเด็ดขาด เช่น กฎหมายห้ามการสร้าง deepfake ที่ละเมิดสิทธิบุคคลโดยไม่ได้รับความยินยอม หรือการลงโทษบริษัทที่ใช้ AI เพื่อหลอกลวงหรือทำร้ายผู้บริโภค
สิ่งที่ Ng อยากเห็นมากที่สุดไม่ใช่ข้อห้ามใหม่ ๆ แต่เป็นความโปร่งใสจากบริษัท AI รายใหญ่ เขาเสนอว่าองค์กรขนาดใหญ่ที่มีผู้ใช้นับร้อยล้านควรถูกบังคับให้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของระบบและเหตุการณ์ผิดปกติ เพราะเมื่อปัญหาเกิดขึ้นในยุคโซเชียลมีเดีย เราแทบไม่มีใครรู้เลยจนกระทั่งมีการออกมาเปิดโปง การบังคับให้บริษัทเปิดเผยข้อมูลตั้งแต่แรกจะช่วยให้ผู้กำกับดูแลเข้าใจปัญหาได้เร็วกว่า ลดความเสี่ยงโดยไม่ต้องหวังพึ่งโชคว่าจะมีใครกล้าออกมาบอกความจริง
ในมุมของ Ng นี่ต่างหากคือกฎหมายที่ช่วยปกป้องสังคมโดยไม่บั่นทอนความสามารถในการแข่งขันด้าน AI ของประเทศ และยังสร้างความไว้วางใจให้เทคโนโลยีเติบโตอย่างยั่งยืนกว่าการออกกฎที่รัดแน่นเกินไป
จากมุมมองของ Andrew Ng ชัดเจนว่า AI ไม่ได้มาแย่งงานมนุษย์ แต่กำลังเปลี่ยนบทบาทของเราจากคนเขียนโค้ด ไปเป็นคนที่คิด วางแผน และเข้าใจผู้ใช้มากขึ้น เมื่อ AI ทำงานทางเทคนิคแทนได้เร็วกว่าเดิม สิ่งที่สำคัญที่สุดจึงไม่ใช่การเขียนโค้ดเก่ง แต่คือการรู้ว่าจะให้ AI สร้างอะไรและเพื่อใคร
ในระดับโครงสร้าง Ng เชื่อว่าโลกควรมุ่งสู่การกำกับดูแลที่ชาญฉลาด ไม่รัดจนหยุดนวัตกรรม และไม่ปล่อยจนเกิดอันตราย การสร้าง sandbox ที่ปลอดภัยและความโปร่งใสจากบริษัทใหญ่คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ AI เติบโตโดยไม่ทำลายความเชื่อมั่นของสังคม
ท้ายที่สุด อนาคตของ AI จะไม่ได้ตัดสินด้วยตัวเทคโนโลยี แต่ด้วยวิธีที่มนุษย์เลือกใช้มัน หากเราใช้มันอย่างรับผิดชอบและสร้างสรรค์ AI จะไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่จะเป็นพลังสำคัญที่ยกระดับการทำงานและนวัตกรรมของมนุษย์ในทุกอาชีพ
อ้างอิง: zdnet
_____________________
เตรียมความพร้อมให้ธุรกิจของคุณก้าวสู่ยุค AI อย่างมั่นใจ ด้วยการพัฒนา people, process และ technology อย่างครบวงจรไปกับ Techsauce
ร่วมสำรวจแนวทางและโอกาสในการเปลี่ยนผ่านสู่ AI-first organization ไปกับเรา techsauce
เพื่อนร่วมทางในการพัฒนา AI journey ของคุณ ได้ที่: https://services.techsauce.co/contact-us
หรืออีเมล [email protected]
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด