" คุณไม่สามารถจะมี Internet of Things ได้เลยหากไม่มี Internet of Value และ Internet of trust ” - Chris Skinner
แม้ในขณะนี้เทคโนโลยี Blockchain กำลังเป็นที่กล่าวถึง แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า Blockchain จะสร้างผลกระทบอะไรให้กับมนุษยชาติบ้างในอนาคต ในงาน Techsauce Summit 2016 จึงได้เชิญ คริส สกินเนอร์ บล็อคเกอร์และผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ซึ่งได้รับการขนานนามจากนิตยสาร Wall Street Journal ว่าเป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในวงการ FinTech มาชี้ให้เราเห็นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างหลังจากที่โลกเรามี Blockchain เกิดขึ้นมาแล้ว
Skinner กล่าวว่า นับจากนี้จะมีการปฏิวัติครั้งใหญ่ทั้งหมดใน 5 สิ่งด้วยกัน ที่จะกระทบกับชีวิตของเราและต้องนิยามระบบการเงินกันใหม่ สามสิ่งแรกที่มีการปฏิวัติไปแล้วคือ ความเชื่อร่วมของคนในสังคม การใช้เงินในเป็นกลไกในการแลกเปลี่ยนและควบคุมกิจกรรมต่างๆ และการมีธนาคารที่ดำเนินการโดยรัฐ ส่วนในขณะนี้เรากำลังอยู่ระหว่างการปฏิวัติลำดับที่สี่คือ "การปฏิวัติระบบเน็กเวิร์ก"
“ เรากำลังอยู่ในขั้นต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ” สกินเนอร์กล่าว การปฏิวัติระบบเน็ตเวิร์กจะทำให้การเข้าถึงอินเตอร์เน็ตในระดับบุคคลทำได้ง่ายขึ้น เพราะขณะนี้ยังมีประชากรอีกมากที่ยังเข้าไม่ถึงบริการธุรกรรมทางการเงิน เนื่องด้วยติดเรื่องค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ดังนั้นระบบอินเตอร์เน็ตและการเชื่อมต่อผ่านโทรศัพท์มือถือจะทำให้ประชากรที่ยากจนที่สุดเข้าถึงการบริการทางเงินได้ในที่สุด
ในปี 2016 ประชากรชาวแอฟริกัน 82% สามารถเข้าถึงระบบอินเตอร์เน็ตได้ เมื่อเทียบกับเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่มีเพียง 60% เท่านั้น การเชื่อมต่อนี้ไม่ใช่เพียงแค่การโทรคมนาคมเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงการเข้าถึงการบริการทางการเงินผ่านธนาคารบนโทรศัพท์มือถือ ซึ่งตรงนี้เองที่ Blockchain เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง โดยทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น รวดเร็วขึ้นและทำให้การใช้บริการธุรกรรมต่างๆ มีราคาที่ถูกและหรืออาจจะไม่มีค่าใช้จ่าย
Blockchain ได้มอบทางออกให้กับปัญหาเรื้อรังในอุตสาหกรรมการเงิน นั่นคือในการให้ใช้ FinTech ได้โดยไม่ต้องมีธนาคารเข้ามาเกี่ยวข้อง เนื่องจากประชากรกลุ่มใหญ่ของโลกซึ่งคือกลุ่มที่ยากจนที่สุด แต่เป็นกลุ่มที่มีความจำเป็นในการใช้ธุรกรรมทางการเงิน เช่น ความต้องการในการกู้เงินในจำนวนน้อย แต่ในทางกลับกันต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในการให้ได้มาซึ่งเงินดังกล่าว สกินเนอร์ อธิบาย
ครึ่งหนึ่งของโลกใบนี้ไม่มีธนาคาร เพราะว่ามันไม่คุ้มที่จะไปลงทุนทำธนาคารกับกลุ่มประชากรที่ยากจน ทำให้ประชากรกลุ่มดังกล่าวต้องรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงในการเคลื่อนย้ายเงินสักครั้งหนึ่ง เมื่อเทียบกับพวกเราที่มีบัญชีอยู่ในธนาคาร ซึ่งในขณะที่พูดอยู่นี้เรื่องนี้ก็กำลังดำเนินการปฏิวัติอยู่ด้วย Mobile Network ระบบเน็ตเวิร์กที่ทำให้การเข้าถึงบริการทางการเงินอยู่ในมือของทุกคน ไม่ว่าจะยากแค่ไหน ซึ่งโทรศัพท์ที่ราคาถูกที่สุดในโลกที่มีระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์มีราคาอยู่ที่ 34 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ตอนนี้จะว่าไปการมีโทรศัพท์แอนดรอยด์จำเป็นกว่าแปรงสีฟันอีก เพราะสามารถทำให้เราเข้าถึงระบบเน็กเวิร์กได้ง่าย เร็ว และฟรี
ในทวีปแอฟริกา ประเทศในทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮาร่า กำลังจะเป็นสังคมที่มีโทรศัพท์ใช้อย่างรวดเร็ว การที่พวกเขาสามารถเข้าถึงระบบเน็กเวิร์กได้มอบความสามารถในการเข้าถึง smart network ได้เช่นกัน พวกเราสามารถโอนเงินผ่าน mobile wallets ได้ง่าย สิบเก้า ประเทศในทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮาร่าในแอฟฟริกากำลังมีคนใช้โทรศัพท์มากกว่าคนที่มีบัญชีธนาคาร
ในชาวแอฟริกันสามคน จะมีหนึ่งคน จะทำการเปิด mobile wallet ทันทีหลังจากซื้อโทรศัพท์ เพราะมันทำให้พวกเขาสามารถเข้าถึงการโอนเงินได้ง่ายและถูก รวมไปถึงการทำการซื้อขายต่างๆด้วย แม้กระทั่งเกษตรกรในเเอฟริกาสามารถขายสินค้าจากฟาร์มของเขาได้ทั่วประเทศ ทุกคนคือพ่อค้าในเน็กเวิร์ก นี่คือการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง นี่คือการปฏิวัติ แปลว่าประชากรกว่า 5 พันล้านคนที่ไม่สมควรได้รับสิ่งเหล่านี้หรือถูกมองข้ามโดยระบบระหว่างการปฏิวัติอุตสาหกรรมจะได้รับการบริการและเข้าถึงกัน ประชากรทุกคนจะเชื่อมต่อกันได้แบบเรียลไทม์และทันที
คำนิยามจาก investopedia.com กล่าวว่า Block chain คือ public ledger ของธุรกรรม Bitcoin ทั้งหมด โดยธุรกรรมนั้นจะถูกจัดเก็บเป็นบล็อกๆ เพื่อให้ง่ายต่อการเก็บข้อมูล ซึ่งข้อมูลในบล็อคต่างๆจะถูกนำไปต่อกันจนเป็น Blockchain ในลักษณะเส้นตรง ตามลำดับ
สกินเนอร์กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวคิดที่จะมีธุรกรรมทางการเงินที่ได้รับการรับรองจจากเน็กเวิร์ก มากไปกว่านั้นมันใช้เวลาไม่นานที่ทำให้นักนวัตกรรมทางการเงินรับรู้ว่าเทคโนโลยี Blockchain สามารถนำไปใช้ได้กับทุกอย่าง มันสามารถใช้กับธนาคารเพื่อช่วยจัดการยอดชำระของตลาดหลักทรัพย์ มันสามารถใช้เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนเพื่อเป็นการบันทึกสำหรับการแต่งงานหรือการหย่าร้าง หรือสำหรับธุรกรรมทางกฎหมายอื่นๆ เพราะ Blockchain ได้รับการรับรองผ่านระบบเน็กเวิร์กในรูปแบบดิจิทัลแล้ว สิ่งนี้จะเป็นการปฏิวัติวงการกฎหมายทั้งหมดเพราะแม้แต่เอกสารทางกฎหมายก็สามารถจัดเก็บใน Block chain ได้เช่นกัน
หลายคนอาจจะคิดว่าบางที Blockchain อาจจะช่วยแก้ปัญหาความหิวโหย ความยากจน หรือกระทั่งแก้ปัญหาทุกอย่างให้กับมนุษย์ได้ แต่มันทำไม่ได้หรอก เพราะมันเป็นเพียงฐานข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเท่านั้น นั่นแหละคือ Blockchain มันคือฐานข้อมูลที่ได้รับการรับรองและน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตามมันคือการปฏิวัติอยู่ดีเพราะอย่างที่ผมว่าไปเราสามารถจะบันทึกข้อมูลบุคคล ธุรกรรมทางการเงินและธุรกรรมทางกฎหมายใน Blockchain ได้
โดยสรุปแล้ว ในบางพื้นที่ที่มีการใช้เทคโนโลยี Blockchain จะช่วยสลายชนชั้นทางสังคมได้ อย่างการระบุตัวตนทางดิจิทัล เชื่อไหมว่าในประชากร 7 พันล้านคนบนโลกนั้น ยังมีประชากรอีก 2.4 พันล้านคนที่ยังไม่มีตัวตนในระบบ นั่นหมายความว่าคนกลุ่มนี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของระบบเเลกเปลี่ยนหรือระบบเน็กเวิร์กใดๆของโลก
สหประชาชาติได้ริเริ่มโครงการที่มุ่งเน้นให้ประชาชนทุกคนมีตัวตนทางดิจิทัลที่ถูกกฎหมาย ภายในปี ค.ศ. 2030 ข้อมูลนี้จะถูกบันทึกอยู่ใน Blockchain ของสหประชาชาติเอง
ที่ไหนจะได้รับผลจากสิ่งนี้บ้าง ? นั่นก็คือผู้ด้อยโอกาสจำนวนมากจะมาเป็นส่วนหนึ่งของสังคม โดยพวกเขาจะได้รับการรับรองเพื่อที่จะสามารถทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ได้ด้วยตนเอง
การจัดเก็บข้อมูลหรือการทำธุรกรรมทางกฎหมาย - Blockchain จะช่วยทำให้เราสามารถเก็บข้อมูลทั้งหมดของการทำธุรกรรมและเอกสารทางกฎหมายโดยไม่ต้องใช้กระดาษสักแผ่น Blockchain จะทำให้เรามีเอกสารที่จัดเก็บเป็นระบบ และได้รับการรับรองโดยเน็กเวิร์กในรูปแบบดิจิทัล
ที่ไหนจะได้รับผลจากสิ่งนี้บ้าง ? คุณลองจินตนาการถึงโลกที่ทนายความและพนักงานศาลที่ไม่มีกองเอกสารตั้งอยู่ข้างหน้าดูสิ การพัฒนาสิ่งนี้จะช่วยลดต้นทุนได้อย่างมหาศาล
การควบคุมสินทรัพย์ - การมีสินค้าและสินทรัพย์เป็นจำนวนมากที่เกี่ยวของกับเศรษฐกิจ ความเป็นไปได้ในการติดตามสิ่งเหล่านั้นแบบเรียลไทม์จะทำให้เกิดผลประโยชน์มากมายกับสังคม
“ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง เพิ่งปล่อยโปรแกรมให้กับบริษัทที่เป็นลูกค้า ในการบันทึกทุกอย่างที่เกิดขึ้นใน Supply chain แบบเรียลไทม์ ซึ่งทำให้สามารถควบคุมสินค้าในช่วงเวลาที่เฉพาะได้” สกินเนอร์กล่าว
ที่ไหนจะได้รับผลจากสิ่งนี้บ้าง ? นี่จะเป็นการเปลี่ยนรูปแบบการค้าขายของโลกไปเลย ใบเสร็จหรือจดหมายเครดิตจะไม่จำเป็นอีกต่อไป ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายจะเกิดความเชื่อถือกันมากขึ้นเนื่องจากเราจะสามารถติดตามสินค้าได้ในทุกๆ ช่วงเวลาอย่างแท้จริง
การประยุกต์ใช้อีกอย่างที่เราจะได้เห็นจากการใช้ Blockchain คือประสิทธิภาพของมันในการเชื่อมโยงอัตลักษณ์ทางดิจิทัลของปัจเจกบุคคลเข้ากับ Internet of Things เพื่อทำกิจกรรมใดๆ ที่ต้องอาศัยการรับรอง
คำถามคือแล้วระบบของ Internet of things จะรับทราบอัตลักษณ์ของเราได้อย่างไร ? หากเราได้ทำการยืนยันที่จะสั่งสินค้าหรือบริการต่างๆในขณะนี้ แล้วระบบจะสามารถทำธุรกรรมแทนเราได้เลยงั้นหรือ ? เราจะทราบได้อย่างไรว่าระบบการทำธุรกรรมแบบใหม่นี้ว่าของใครเป็นของใคร ?
อัตลักษณ์ของทุกคนจะอยู่ใน Blockchain เพราะเป็นโครงสร้างแบบบัญชีร่วมที่ใช้ได้ทั่วไปโลกในทุกๆเน็กเวิร์กในฐานะเราเอง และนี่เองจึงเป็นเหตุผลว่าระบบการเงินจะทราบถึงการเคลื่อนไหวต่างๆของเราอย่างถูกกฎหมาย
แต่มูลค่า คุณจะต้องมี Internet of Value เพื่อที่จะมี Internet of Things คุณไม่สามารถจะมี Internet of Things ได้เลยหากไม่มี Internet of Value และการจะมี Internet of Value ได้นั้นคุณจะต้องมีความน่าเชื่อถือ และที่จะมีความน่าเชื่อถือนั้นต้องสร้างผ่าน Blockchain นี่คือการปฏิวัติที่แท้จริงบนเน็กเวิร์กนี้ คุณจะต้องมีระบบการรับรองอัตลักษณ์ของ Blockchain ที่ใช้ร่วมกันทั้งเน็กเวิร์กก่อน เพื่อที่จะสร้างความน่าเชื่อถือเพื่อที่เราจะทำธุรกรรมต่างๆร่วมกัน
ในตอนท้าย สกินเนอร์กล่าวว่าการปฏิวัติเน็กเวิร์กลำดับที่ 4 เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 70 ปีที่แล้วด้วยการเกิดขึ้นของคอมพิวเตอร์เครื่องแรก ซึ่งการปฏิวัตินี้จะดำเนินไปอีกประมาณ 20 ปี
เรื่องราวของ Blockchain ได้ครอบงำสื่อต่างๆ ไปเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างพูดถึงความน่าตื่นเต้นและข้อดีของมัน และมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่อาจจะเพราะมันเป็นสิ่งที่ทุกคนต่างตื่นเต้นกับมัน ทำให้มีบางประเด็นที่ยังไม่ได้ถูกเล่าออกไป นั่นก็คือฐานข้อมูลร่วมจะไม่มีประโยชน์เลยหากมันไม่ได้รับการกระจายออกไป และการสร้างโครงสร้างการแบ่งปันข้อมูลนั้นต้องอาศัยเวลา สำหรับระบบธนาคารการสร้างโครงสร้างฐานข้อมูลใหม่จะใช้เวลา 5-10 ปี จะมีก็แต่บริการทางการเงินเท่านั้นที่ได้ใช้ Blockchain ในขณะนี้ การที่เรามีการทำธุรกรรมจำนวนมหาศาลบน Internet of Things เราจึงต้องมีวิธีการที่ง่ายและถูกในการบันทึกธุรกรรมเหล่านั้น
คุณอาจจะเริ่มสงสัยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างหลังจากที่สกินเนอร์ได้ทำนายการปฏิวัติลำดับที่ 5 ในวันที่มนุษย์อาจจะเป็นอมตะ ซึ่งต้องขอบคุณการพัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์
“นี่ไม่ใช่นิยายวิทยาศาสตร์ แต่มันคือข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ต่างหาก” สกินเนอร์เล่าต่อ
อ่านเกี่ยวกับ Blockchain เพิ่มเติม
ขอขอบคุณผู้สนับสนุนช่วงพิเศษดีๆ โดย Digital Ventures
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด