‘จีน’ ประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก เป็นตลาดส่งออกสำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นจุดหมายปลายทางที่ดีที่สุดของนักลงทุน…แต่ในตอนนี้ประเทศมหาอำนาจแห่งนี้กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่!
"ทั้งอุตสาหกรรมมันพังลงไปต่อหน้าต่อตาเราแล้ว"
ผู้บริหารระดับสูงของกรุงปักกิ่งเผยว่า จีนเคยเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนร่วมทุน (Venture Capita, VC) รองจากสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
โดยเฉพาะช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 เมื่อบริษัทอย่าง Alibaba และ Tencent เติบโตอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นกลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ระดับโลก จีนจึงเป็นเหมือนสถานที่แห่งความหวังของนักลงทุนและผู้ประกอบการในอดีต แต่ตอนนี้ความหวังเหล่านั้นก็เลือนลางลง ความสำเร็จในระดับนั้นอาจจะไม่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้
นี่คือตัวเลขจาก ที่บ่งชี้ว่าตลาดการลงทุนในจีน กำลังอยู่ในช่วงขาลง
ปี 2018: การลงทุนของ VC เฟื่องฟู มีบริษัท Startup กว่า 51,000 แห่งที่ก่อตั้งขึ้นในประเทศจีน
ปี 2023: ตัวเลขลดลงเหลือเพียง 1,200 แห่ง และดูเหมือนว่าจะลดลงอีกในปีนี้
Keyu Jin รองศาสตราจารย์จาก London School of Economics เปิดเผยว่าอุตสาหกรรม Startup มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการสร้างสรรค์นวัตกรรมในประเทศจีน และการไหลออกของการลงทุนจากทั่วโลกและการลดลงอย่างมากของมูลค่าบริษัทจีนจะมีผลกระทบต่อความสามารถในการพัฒนานวัตกรรมของประเทศ
วิกฤตในภาคส่วนนี้สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว ซึ่งได้รับผลกระทบจาก
1. เศรษฐกิจชะลอตัว
เศรษฐกิจของจีนชะลอตัวลง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากผลกระทบระยะยาวของการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดจากโควิด-19 ฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์แตก และตลาดหุ้นที่อ่อนแอ ส่งผลให้นักลงทุนจากสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ถอนตัวเนื่องจากความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น และบริษัทต่างๆ จึงเติบโตและดึงดูดการลงทุนได้ยากขึ้น
2. นโยบายทางการเมือง
ภายใต้การนำของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง รัฐบาลได้เข้มงวดการควบคุมธุรกิจเอกชนมากขึ้น เช่น การปราบปรามบริษัทเทคโนโลยีที่ถือว่าผูกขาดหรือไม่สอดคล้องกับค่านิยมของพรรคคอมมิวนิสต์ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังต้องเผชิญกับการตรวจสอบเงินและการตัดสินใจทางธุรกิจอย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้ไม่สามารถบริหารจัดการ หรือลงทุนในบริษัทได้อย่างอิสระ
Desmond Shum นักธุรกิจชาวฮ่องกง ผู้เขียนหนังสือ Red Roulette และอดีตเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ ชี้ว่า รัฐบาลได้ “ปิดกั้น” ภาคเอกชน โดยเขาอธิบายว่าปัจจุบันธุรกิจที่ประสบความสำเร็จต้องเผชิญกับถูกเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด ไม่สามารถย้ายเงินของตนไปยังต่างประเทศได้ กิจกรรมทางการเงินและคำแถลงต่อสาธารณะชนต้องได้รับการตรวจสอบอยู่เสมอ จนเหมือนกับว่า “เงินของพวกเขาคือเงินของประเทศ”
ตลาดการลงทุนที่เคยเป็นเหมือนสววรค์ ปัจจุบันมันกำลังล่มสลายเพราะนโยบายของรัฐบาลที่เข้มงวด
หนึ่งในตัวอย่างที่สะท้อนภาพของ Startup ของจีนได้เด่นชัดนั่นคือ เรื่องราวของ Jack Ma แห่ง Alibaba และ Pony Ma จาก Tencent สองดาวเด่นที่สร้างแรงบรรดาลใจให้กับเหล่าผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในจีนให้พวกเขาพยายามสร้างบริษัทและนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ให้ได้
ภายในสิ้นปี 2020 บริษัท Alibaba และ Tencent มีมูลค่ารวมกันสูงถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดของการเติบโตอย่างรวดเร็วของทั้ง 2 บริษัท แต่ทว่าในเดือนพฤศจิกายน 2020 ความฝันอันยิ่งใหญ่ของผู้ประกอบการชาวจีนหลายคนเริ่มพังทลาย ปักกิ่งได้ยกเลิกการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรก (IPO) ของ Ant Group ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีทางการเงินที่เป็นส่วนหนึ่งของ Alibaba
การกระทำดังกล่าวส่งผลให้ Jack Ma ผู้ก่อตั้ง Alibaba ถูกทางการสอบสวน นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการปราบปรามอุตสาหกรรมเทคโนโลยีครั้งใหญ่ ทำให้การลงทุนในจีนคาดเดาได้ยากขึ้นมาก ตั้งแต่นั้นมาความกระตือรือร้นและความหวังในตอนแรกที่จูงใจให้ผู้ประกอบการจำนวนมากเริ่มต้นธุรกิจใหม่จึงค่อยจางหายไป เพราะบริษัท Startup ใหม่ๆ ต้องเผชิญกับเงื่อนไขที่ยุ่งยากยิ่งขึ้น
และบริษัท Startup ที่เคยให้คำมั้นสัญญากับนักลงทุนว่าจะซื้อหุ้นคืนหากบริษัทของพวกเขาไม่สามารถเข้าตลาดหุ้นหรือลงขายได้ภายในกำหนดที่ตั้งไว้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากหลายบริษัทประสบปัญหาและล้มเหลว บริษัททุนร่วมลงทุน (VC) จึงเริ่มใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อพยายามเรียกคืนการลงทุนที่สูญเสียไปจากบริษัทเหล่านี้
ในเดือนสิงหาคม วารสารธุรกิจ Caixin รายงานว่า Shenzhen Capital Group ซึ่งเป็นบริษัททุนร่วมลงทุนใหญ่ของรัฐในจีน ได้ยื่นฟ้องร้อง 41 คดีตั้งแต่ปี 2023 ส่วนใหญ่เป็นคดีที่ฟ้องบริษัทที่ไม่สามารถเข้าตลาดหุ้นหรือลงทุนซื้อหุ้นคืนตามที่สัญญาไว้ ปัจจุบัน นักลงทุนหุ้นส่วนจำกัด (LP) กำลังกดดันบริษัทให้คืนเงินมากขึ้นเนื่องจากมีปัญหาทางการเงินที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ ภาคส่วนเงินร่วมลงทุนจึงมุ่งเน้นไปที่การกู้หนี้คืน ปัจจุบันตลาด VC จึงมุ่งเน้นไปที่การช่วยเหลือในประเด็นการชำระหนี้เหล่านี้
การลงทุนจาก Venture Capital (VC) กำลังเผชิญความท้าทายในการหาทุนมากขึ้น นักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนจีนกำลังถอนตัวออกจากจีน ทำให้ทุนที่สนับสนุนโดยรัฐมีบทบาทมากขึ้น
นักลงทุนคนหนึ่งกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ นักลงทุนอเมริกันให้ความสนใจในกองทุนจีนมาก แต่ตอนนี้พวกเขาหลีกเลี่ยงกองทุนเหล่านี้ กองทุนที่รัฐสนับสนุนตอนนี้ครองตลาดประมาณ 80% ซึ่งแตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่กองทุน VC ส่วนตัวมีบทบาทมากกว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ขัดแย้งกับวิธีการลงทุนของ VC
หลายบริษัทการลงทุนเริ่มมุ่งเน้นไปที่การลงทุนในบริษัทการผลิต เนื่องจากถือว่ามีความเสี่ยงน้อยกว่า ในปี 2023 มีการก่อตั้งบริษัท Startup ในภาคการผลิตขั้นสูงมากกว่า 30% ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากปีที่ผ่านมาเมื่อสาขาที่ได้รับความนิยมมากกว่า ได้แก่ เทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีเพื่อผู้บริโภค และการศึกษา
นอกจากนี้รัฐบาลปักกิ่งพยายามลดเงินเดือนที่สูงเกินไปในอุตสาหกรรมการเงิน ส่งผลให้หลายกองทุนการเงินมีความตั้งใจน้อยลงในการลงทุนในโครงการที่มีความเสี่ยงสูงแต่มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูง รัฐบาลได้กำหนดเพดานเงินเดือนสำหรับผู้จัดการกองทุนที่ประมาณ 407,000 ดอลลาร์ต่อปี และยังบังคับให้บางกองทุนลดค่าธรรมเนียมการจัดการลงครึ่งหนึ่ง
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ หลายบริษัทลงทุนกำลังลดขนาดลง เช่น Source Code Capital ซึ่งลงทุนใน ByteDance ได้ลดพนักงานลง 50 คนจาก 150 คนในปีที่แล้ว ขณะที่กองทุนใหญ่ ๆ เช่น HongShan และ Hillhouse ก็ลดการดำเนินงานในจีนเช่นกัน สถานการณ์ปัจจุบันทำให้ผู้บริหารในเซี่ยงไฮ้กล่าวว่า…
“เมื่อก่อนอุตสาหกรรมนี้เป็นเหมือนกอริลลาหนัก 10,000 ปอนด์ แต่ตอนนี้เรากำลังลดขนาดลงเหลือแค่ชิมแปนซีเท่านั้น”
อุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่เคยเจริญรุ่งเรืองของจีน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการทำให้ประเทศกลายเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีระดับโลก กำลังประสบกับการลดลงอย่างรวดเร็ว นักวิจารณ์เตือนว่าสิ่งนี้อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการนวัตกรรมในอนาคต
Sebastian Mallaby นักวิจัยอาวุโสที่ Council on Foreign Relations อธิบายว่าการมุ่งเน้นไปที่การชำระหนี้สินทำให้การพัฒนานวัตกรรมชะลอตัวลง และอาจทำให้จีนไม่สามารถเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีได้
ด้าน Jin จาก London School of Economics กล่าวเสริมว่าการที่บริษัทเทคโนโลยีจะประสบความสำเร็จไม่ใช่แค่เรื่องเงินทุนเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยนักลงทุนที่มีทักษะ มีเครือข่ายอยู่ทั่วโลก และรู้วิธีบริหารจัดการธุรกิจได้ดี ซึ่งปัจจุบันจีนนั้นขาดทั้งเงินทุนและนักลงทุนที่มีทักษะ
แม้แต่พื้นที่ที่ปักกิ่งถือว่ามีความสำคัญมากต่อความมั่นคงของชาติ เช่น เทคโนโลยีชีวภาพและยา ก็ยังประสบปัญหาในการได้รับเงินลงทุน เงินทุนสำหรับ Startup ลดลงกว่า 60% ในปี 2023 เมื่อเทียบกับจุดพีคในปี 2021
ส่งผลให้ผู้ประกอบการใหม่ๆ เริ่มต้นบริษัทโดยใช้เงินของตนเองหรือเงินกู้จากเพื่อนและครอบครัว แทนที่จะหานักลงทุนภายนอก และมุ่งเน้นไปที่การขายออนไลน์ โดยสร้างอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ราคาไม่แพง แทนการพัฒนานวัตกรรมใหม่ และนำไปขายบนแพลตฟอร์ม เช่น Amazon, Shein หรือ Temu เป็นต้น
แม้ว่าหลายภาคส่วนของเทคโนโลยีจะประสบปัญหาด้านการระดมทุน แต่บางนักลงทุนยังคงสนใจใน Humanoid Robots และรถ EV บินได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลปักกิ่งได้ให้การสนับสนุนตามนโยบายล่าสุด
อย่างไรก็ตาม การทำเงินจากเทคโนโลยีเหล่านี้ยังคงเป็นเรื่องยาก หุ่นยนต์ยังไม่สามารถทำงานได้ดีเท่ามนุษย์ และแท็กซี่บินยังไม่สามารถใช้งานได้อย่างแพร่หลาย เนื่องจากการควบคุมพื้นที่การบินที่เข้มงวดของกองทัพจีน ส่งผลให้หลายกองทุนการลงทุนที่เคยเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงปี 2010 กำลังมองหาโอกาสในต่างประเทศแทน
บริษัทต่างๆ เช่น HongShan, Hillhouse Investment, 5Y Capital, ZhenFund, DCM Ventures, Linear Capital, Shunwei Capital, Genesis Capital และ Qiming Venture Partners กำลังทุ่มเงินลงทุนนอกประเทศจีนมากขึ้น โดยพวกเขากำลังมองหาโอกาสในตลาดอย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรป
ผู้บริหารระดับสูงในเซี่ยงไฮ้แสดงความกังวลว่า อุตสาหกรรมการลงทุนในจีนอาจไม่สามารถฟื้นตัวได้ เขารู้สึกเหมือนกำลังติดอยู่ในเรือที่กำลังจม ขณะที่ต้องพยายามประคองสถานการณ์ให้ลอยน้ำ
จีน เคยเป็นหนึ่งในตลาดการลงทุนที่น่าตื่นเต้นและเป็นที่จับตามองของนักลงทุนทั่วโลก แต่ตอนนี้ประเทศมหาอำนาจแห่งนี้กำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะในตลาดการลงทุนร่วมทุน (VC) ที่เคยเฟื่องฟู
สาเหตุหลักของวิกฤตนี้ ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ที่เข้มงวด ฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์แตก และความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงนโยบายทางการเมืองที่เข้มงวดของรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง
แม้ว่าบางภาคส่วนยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล เช่น Humanoid Robots และรถบินได้ แต่การทำเงินจากเทคโนโลยีเหล่านี้ยังคงเป็นเรื่องยาก ทำให้บริษัททุนร่วมลงทุนที่เคยเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงปี 2010 กำลังมองหาโอกาสในตลาดต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาและยุโรป ซึ่งหลายบริษัท เช่น HongShan, Hillhouse Investment และ Linear Capital กำลังขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ
ด้วยการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ จีนต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในการฟื้นฟูและพัฒนานวัตกรรมในอนาคต ขณะที่นักลงทุนและบริษัทต่างๆ กำลังปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อสภาวะที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในตลาดการลงทุนระดับโลก
อ้างอิง: Financial Times
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด