คงไม่มีเวลาไหนที่เราจะเห็นภาพความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสู่โลกดิจิทัลได้ชัดเจนเท่ากับสถานการณ์ปัจจุบันที่วิกฤต COVID-19 ฉายให้เราได้เห็น เราเคยคุ้นชินกับการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจด้วยภาพการเดินทางของผู้คน รถติดตามท้องถนน อาคารสำนักงานต่าง ๆ เต็มไปด้วยพนักงานออฟฟิศ แต่ในตอนนี้เมืองขนาดใหญ่จำนวนมากทั่วโลกกำลังนิ่งสนิท และไม่ปรากฏภาพกิจกรรมดังกล่าว แต่ถึงอย่างไรก็ตามบริษัทต่าง ๆ ก็ยังคงต้องดำเนินธุรกิจต่อไป โดยผันตัวสู่รูปแบบของดิจิทัลอย่างจริงจัง
กิจกรรมทางเศรษฐกิจในยุค COVID-19 ก่อให้เกิดการใช้งาน Data ที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณอย่างแทบไม่ทันตั้งตัว และยังมีแนวโน้มที่โลกธุรกิจจะวิ่งไปในทิศทางนี้มากขึ้น ผลักดันให้เกิดการปรับตัวไปใช้ชีวิตบน Cloud และโลก Online หรือที่เรียกว่า ‘Cloud Life’ อย่างฉับพลัน กลายเป็น New Normal ที่ทุกอุตสาหกรรมต่างต้องตื่นตัว
เพื่อไม่ให้ธุรกิจต้องหยุดชะงักในวิกฤตครั้งนี้ องค์กรต่าง ๆ สนองนโยบายการทำงานจากที่บ้าน และต้องขับเคลื่อนธุรกิจผ่านโลกดิจิทัล ทำให้หลาย ๆ คนเกิดการตั้งคำถามว่า “แล้วประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันครั้งนี้ได้ดีพอแล้วหรือไม่” Techsauce มีโอกาสได้พูดคุยกับ คุณธีรพันธุ์ เจริญศักดิ์ General Manager แห่ง True IDC ผู้นำในการให้บริการด้าน Data Center และ Cloud ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของ Digital Economy ซึ่งความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วถือเป็นความท้าทายต่อบทบาทของ Data Center และ Cloud ที่ไม่เพียงแต่ต้องรองรับการเก็บ Data จำนวนมหาศาลและยังเพิ่มขึ้นอย่างไม่สิ้นสุด ในด้านความปลอดภัยและความยืดหยุ่นต่อโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาก็มีความสำคัญเช่นกัน
ก่อนอื่นในสถานการณ์แบบนี้เราต้องยอมรับก่อนว่า “COVID-19 เปรียบเสมือนยาเร่งปฏิกิริยาให้เกิด Digital Transformation” ของหลาย ๆ ประเทศรวมถึงในประเทศไทยด้วย เดิมทีเราเคยออกไปทานอาหารนอกบ้าน ไปดูหนัง ฟังเพลง ช้อปปิ้ง ประชุมในห้องประชุมที่มีกันหลาย ๆ คน ไปจนถึงการไปโรงเรียนของเด็ก ๆ ทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นในด้านเทคโนโลยีก็ยังสามารถค่อย ๆ พัฒนาไปได้
แต่พอมีวิกฤตที่ฉับพลันขึ้นมา บริษัทไม่ว่าจะเป็นขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องปรับตัวเข้าสู่โลกของออนไลน์อย่างรวดเร็วเพื่อความอยู่รอดทางธุรกิจ
สิ่งที่ไม่คิดว่าจะทำแบบออนไลน์ได้ดี กลับทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผมเรียกมันว่า ‘Cloud Life’ คือการที่ทุกคนสามารถใช้ชีวิตและทำธุรกิจแบบปกติได้โดยไม่ต้องออกไปข้างนอก
นับได้ว่า COVID-19 ผลักดันกิจกรรมออฟไลน์ไปสู่โลกออนไลน์ และทำให้ใช้ชีวิตแบบ Cloud life ได้แทบจะสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นการ work-from-home, การสั่งอาหารและสินค้าออนไลน์, การเรียนการสอนออนไลน์, การพบแพทย์ทางวิดิโอคอล ตลอดจนไปถึงการสังสรรค์ออนไลน์
ซึ่งผมเชื่อว่าทั้งตอนนี้และอนาคตต่อจากนี้ หลายบริษัทจะทุบกฎเดิม ๆ ของตัวเองที่เคยมีมา ผุดไอเดียใหม่ ๆ มารองรับ Cloud Life ของผู้ใช้งานและผู้บริโภคมากขึ้น ดังนั้นจะมีเทรนด์เทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาหลากหลาย เพื่อให้ตอบโจทย์ว่า ทำอย่างไรเราจึงจะดำเนินธุรกิจหรือมีไลฟ์สไตล์ที่เหมือนเดิมได้มากที่สุด และทำอย่างไรที่ผู้ใช้บริการหรือผู้บริโภคยังคงได้รับประโยชน์อย่างสูงสุดอยู่
ในฐานะผู้ให้บริการ Data Center และ Cloud หรือผู้จัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานทางด้านไอที เรามองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะปริมาณการใช้ Data ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการใช้ชีวิตออนไลน์ที่มากขึ้นกว่าเดิม 50% และท่ามกลางโรคระบาดนี้ ภาคธุรกิจเหมือนถูกบังคับให้ต้องปรับตัวและปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินธุรกิจเพื่อตอบโจทย์ตามสถานการณ์ให้เร็วพอ หนึ่งวิธีรับมือ ที่บริษัทส่วนใหญ่เลือกคือการหาผู้ให้บริการที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ มาช่วยบริหารจัดการเพื่อให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถทำงานได้โดยไม่หยุดชะงัก ไม่ว่าจะเป็นการส่งผ่านข้อมูลหรือการติดต่อสื่อสารผ่านทางดิจิทัล ยิ่งปรับตัวได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งได้เปรียบ เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ปกติเราเห็นว่าหลาย ๆ ธุรกิจค่อนข้างให้ความสำคัญกับ 3 เรื่องนี้เป็นหลัก
อย่างแรก ความปลอดภัยด้านข้อมูล หรือ Data Security เราเป็นผู้จัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานของ Data ทั้งในรูปแบบ Data Center และ Cloud สิ่งที่เราเห็นคือเมื่อมีการทำธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตมากขึ้น Data ที่ต้องเก็บก็มีมากขึ้น รวมถึงการจัดเก็บและการจัดการข้อมูลเหล่านั้นก็เริ่มลำบากขึ้นเช่นกัน สิ่งที่ตามมาคือมิจฉาชีพทางอินเทอร์เน็ต ที่คอยหาประโยชน์กับข้อมูลเหล่านี้ เป็นเหตุให้หลายบริษัทเริ่มมองหาผู้ให้บริการที่สามารถช่วยจัดเก็บและดูแลรักษาความปลอดภัย Data ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
อย่างที่สอง การวิเคราะห์ข้อมูล ของ Data ที่เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งการทำ Data Analytics หรือ Elasticsearch ก็เป็นทางเลือกที่จะช่วยให้หลาย ๆ บริษัทสามารถพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อตอบโจทย์แก่ผู้ใช้งานมากขึ้น และนี่ก็เป็นเทรนด์ที่กำลังจะเกิดขึ้นมาเรื่อย ๆ
ส่วนสุดท้ายคือ การบริหารค่าใช้จ่าย ซึ่ง COVID-19 นั้นส่งผลกับธุรกิจโดยตรง หลายบริษัทต้องการทางเลือกระหว่างจ่ายเป็น Fixed Cost หรือจ่ายแบบ Pay-Per-Use เพื่อให้มีความยืดหยุ่นและความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น คือใช้ก็จ่าย เมื่อไม่ใช้ก็ไม่ต้องจ่าย
บทบาทของเราในฐานะของผู้ให้บริการ Data Center และ Cloud ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม แต่วิกฤตที่เกิดขึ้นทำให้เราทราบถึงความต้องการของผู้ใช้บริการได้ตรงจุดมากขึ้น ดังนั้นเราเชื่อว่าก่อนที่เราจะสามารถดูแลคนอื่นได้ เราต้องจัดระเบียบและดูแลภายในบ้านเราเองให้ดีก่อน
เราค่อนข้างให้ความสำคัญและเตรียมความพร้อมในส่วนโครงสร้างพื้นฐานทางด้านไอที ตั้งแต่การมีระบบเน็ตเวิร์กที่เสถียร ระบบรักษาความปลอดภัยระดับมาตรฐานสากล และความยืดหยุ่นในการให้บริการแม้ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ตลอดจนความพร้อมทางด้านบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ
ในส่วนของการตอบโจทย์ลูกค้า บริษัทส่วนใหญ่มีความกังวลต่อค่าบริการของ Data Center หรือ Cloud เช่น จะรู้ได้อย่างไรว่าใช้ Data ไปเท่าไหร่แล้ว เหมือนเวลาใช้น้ำหรือไฟฟ้าก็ต้องมีมิเตอร์วัดเหมือนกัน ทาง True IDC จึงเข้าไปมีบทบาทในการช่วยออกแบบ Cost Optimization เพื่อปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย
สิ่งที่เราทำให้กับลูกค้าคือการส่งมอบบริการให้รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ด้วยระบบและแพลตฟอร์มที่มีความปลอดภัยและยืดหยุ่น พร้อมกับบริการช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง เพื่อให้มั่นใจว่าการส่งผ่าน Data และการสื่อสารสามารถทำได้ตลอดทุกที่ทุกเวลา
ผมคิดว่า True IDC โชคดีที่เราเป็นบริษัทไอทีที่มีความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นในด้านของบุคคลากรที่เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีที่ครบครัน ซึ่งเมื่อก้าวเข้าสู่วิถี Cloud Life จึงไม่ทำให้เราต้องปรับตัวมากนัก เราจึงมีเวลาไปดูแลและรองรับความต้องการของทั้งคู่ค้าและลูกค้าได้อย่างเต็มที่ ผมจึงมองว่า COVID-19 จริง ๆ แล้วอีกด้านหนึ่งก็เป็นเหมือนบทพิสูจน์ความพร้อมของเราเอง ซึ่งภายใต้การดูแลของผม เราใช้แผน ‘C-O-V-I-D’ เพื่อรับมือในช่วง COVID-19 ดังนี้
C หมายถึง Cooperation ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือในด้านของพนักงานเราเอง คู่ค้าหรือลูกค้าก็ตาม เรายังสามารถดำเนินธุรกิจได้เหมือนเดิมไม่ติดขัด
O เรายังต้องมี Operation เรายังต้องให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง โดยที่ยังต้องรักษาคุณภาพในการให้บริการได้เหมือนเดิม ไม่ให้ลูกค้ารู้สึกว่ามันลดน้อยลงไปด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ เรามีแผนต่าง ๆ ที่จะรองรับการทำงานได้ในทุกการเปลี่ยนแปลง
V คือ Variety of Technologies ทำอย่างไรให้ลูกค้า คู่ค้า และพนักงานของเราได้ใช้เทคโนโลยีที่หลากหลายและเหมาะสม ให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างต่อเนื่องในทุก ๆ สถานการณ์
I คือ Investment ทาง True IDC ได้ลงทุนทั้งในด้านการเพิ่มทักษะความรู้ของพนักงานและเทคโนโลยี เราพัฒนาให้บริการของ Data Center และ Cloud มีความยืดหยุ่นมากขึ้น มีการนำ Cloud ไปสนับสนุนโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยของทางเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่นำไปบริจาคให้กับทางโรงพยาบาล และยังมีส่วนสำคัญในการช่วยสนับสนุนการพัฒนาระบบการสื่อสาร VROOM และ VLEARN อีกด้วย
D สุดท้ายคือ Decisive ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอะไรขึ้น เราสามารถตัดสินใจและลงมือทำได้อย่างรวดเร็ว
เหตุการณ์นี้เป็นอีกประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญที่เราได้เห็นหลายองค์กรนำจุดแข็งของตัวเองมาช่วยประเทศไทยให้ฟื้นตัวและก้าวไปข้างหน้า ถือเป็นความร่วมมือร่วมใจที่น่ายินดีที่สุด ซึ่ง True IDC เอง ก็เป็นหนึ่งจิ๊กซอว์ที่พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมในยุคดิจิทัลให้เข้าสู่วิถี Cloud Life ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
บทความนี้เป็น Advertorial
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด