เจาะลึก 2 Mega Trends Automated Driving และ Connectivity | Techsauce

เจาะลึก 2 Mega Trends Automated Driving และ Connectivity

เจาะลึก 2 Mega Trends หลัก ของอนาคตอุตสาหกรรมยานยนต์ ในงาน Shaping The Future of Mobility : ไขกุญแจสู่โลกยานยนต์แห่งอนาคต ด้วยความร่วมมือระหว่าง Continental Automotive ผู้นำเทคโนโลยียานยนต์จากเยอรมันนี และ Techsauce โดย  Mr. Vincent Wong, Head of Research & Advanced Engineering, Continental Automotive Singapore

ผู้นำเทคโนโลยียานยนต์ที่ไม่ใช่แค่ ‘ยาง’  

ปกติเมื่อได้ยินชื่อของ Continental เรามักจะนึกถึงยางรถยนต์เป็นอันดับแรก แต่แท้จริงแล้ว Continental ตั้งเป้าที่จะเป็นผู้นำนวัตกรรมยานยนต์ระดับโลก   ซึ่ง Mr. Vincent ได้กล่าวถึงภารกิจสำคัญของ Continental ที่ต้องการขับเคลื่อนคมนาคมไปสู่อนาคต ด้วยนวัตกรรมต่างๆ ที่มุ่งเน้นความปลอดภัย, ความสะดวกสบาย, เข้าถึงผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม และความยั่งยืนเป็นหลัก โดยในปีนี้ Continental กำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 150 และยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อมุ่งสู่การพัฒนายานยนต์อัจฉริยะในโลกยุคดิจิทัล โดยจากสถิติพบว่า ธุรกิจยางรถยนต์ทำยอดขายให้กับบริษัทมากถึง 27% แต่กว่า 50% เป็นรายได้จากการให้บริการระบบอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยียานยนต์ต่างๆ 

ในปี 2563 Continental มียอดขายกว่า 37.7 พันล้านยูโร  มีสาขาทำการอยู่ใน 58 ประเทศ และมีพนักงานกว่า 1.9 แสนคนทั่วโลก ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Continental มีสาขาทั้งใน ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์  ซึ่งในประเทศไทย นอกจากธุรกิจยานยนต์แล้ว บริษัทได้ตั้งโรงงานผลิตยางรถยนต์ขนาดใหญ่ และโรงงานผลิตระบบส่งกำลัง (Powertrain system) ที่ครอบคลุมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไว้อีกด้วย ส่วนที่สิงคโปร์ถูกจัดตั้งให้เป็นศูนย์กลางของการวิจัยและพัฒนา (R&D) ของ Continental ในด้านอิเล็กทรอนิกส์และซอฟต์แวร์ยานยนต์ในภูมิภาคอาเซียน ทั้งนี้ก็เพื่อตอบสนองความต้องการของแบรนด์ผลิตรถยนต์นานาชาติ ทั้งจากญี่ปุ่น เกาหลี และยุโรป 

นอกจากนั้น Mr.Vincent ยังให้ความเห็นเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงและเทรนด์ใหม่ๆ ของอุตสาหกรรมยานยนต์  ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปเมื่อตัดสินใจซื้อรถยนต์ ซึ่งนอกจากศักยภาพของรถแล้ว ปัจจุบันผู้บริโภคยังให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม, ความยั่งยืน และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่อยู่ในตัวรถยนต์ ซึ่งถือเป็นความท้าทายสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ในปัจจุบัน

โดย Mr.Vincent ให้ความสนใจกับ Smart Features และ Digital Experience  ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนคาดหวังจะได้เห็นในโลกยานยนต์แห่งอนาคต  รถยนต์จะต้องสามารถใช้เทคโนโลยีอำนวยความสะดวกเหมือนอุปกรณ์ที่เราใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวัน ทั้งในบ้านและออฟฟิศ โดย Mr.Vincent คิดว่าสิ่งนี้อาจเป็นสิ่งที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ใช้รถยนต์ไปตลอดกาล และถึงแม้จะยังเป็นประเด็นใหม่ที่ท้าทายแต่ก็น่าจะเป็นโอกาสทางธุรกิจที่น่าไขว่คว้าของอุตสาหกรรมยานยนต์เช่นกัน

2 Mega Trends แห่งโลก Mobility 

Mr.Vincent ได้พูดถึงเทรนด์ที่กำลังมาแรงในอุตสาหกรรมยานยนต์ 2 เทรนด์หลักด้วยกัน ได้แก่ Automated Driving และ Connectivity โดยทั้งสองเทรนด์นี้ จะถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการเดินทาง ให้มีความปลอดภัยและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น 

สำหรับ Automated Driving หรือ ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัตินั้น Mr.Vincent ได้แสดงกราฟข้อมูลที่น่าสนใจ เกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติมาใช้ในอีกสิบปีข้างหน้า ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยอธิบายว่า ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติแบ่งออกเป็นทั้งหมด 6 ระดับด้วยกัน จำแนกตามระดับปฏิสัมพันธ์ของผู้ขับขี่กับรถยนต์ โดยจากการคาดการณ์ จะเห็นว่าใน 2 ปีข้างหน้า รถยนต์ส่วนใหญ่จะมีระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติในระดับที่ 1 ซึ่งเป็นระดับที่ระบบสามารถช่วยขับขี่ แต่ยังคงต้องอาศัยปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้รถอยู่บ้าง เช่น ระบบเตือนเมื่อเปลี่ยนเลน ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ เป็นต้น

แต่ภายในปี 2568 รถยนต์ที่มีระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับ 2 จะริ่มมีขายตามท้องตลาดมากขึ้น และภายใน 5-10 ปีข้างหน้า เราจะได้เห็นรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับที่ 4-5 ที่เป็นการขับเคลื่อนอัตโนมัติแบบเต็มรูปแบบ สามารถเคลื่อนที่ได้เองแบบไร้คนขับ (High & Full Automation) 

ซึ่งปัจจุบันที่ประเทศสิงคโปร์ เริ่มมีการผลักดันการใช้เทคโนโลยีการขับเคลื่อนอัตโนมัติในระดับ 4-5 บ้างแล้ว โดยใช้เพื่อการขนส่งภายในสนามบิน Changi  นอกจากนั้นยังมีรถบัสอัจฉริยะที่เปิดให้ประชาชนใช้งานบนเกาะ Sentosa ในส่วนนี้เอง Mr. Vincent อธิบายขยายความว่า การทดลองใช้รถยนต์ไร้คนขับทั้งหมด มีการควบคุมให้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วต่ำและเน้นความปลอดภัยเป็นหลัก  ทั้งนี้ในอนาคตจะมีการนำรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับที่ 4-5 ไปทดลองใช้กับพื้นที่ในเขตเมืองมากขึ้น โดยมีแผนว่าภายในปี 2573 ยานยนต์ไร้คนขับจะเริ่มมีการใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้น 

สำหรับระบบ Connectivity หรือ การเชื่อมต่อ ในที่นี้คือความสามารถของรถยนต์ในการสื่อสารกับระบบต่างๆ ทั้งภายในตัวรถยนต์เอง, เชื่อมต่อกับรถยนต์คันอื่น และเชื่อมต่อกับโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ผ่านทางระบบคลาวด์ ซึ่งจะช่วยให้การใช้งานรถยนต์ของผู้ใช้รถและผู้โดยสาร เต็มไปด้วยประสบการณ์ที่ล้ำสมัยและสะดวกสบาย

Mr. Vincent ยกตัวอย่างการเชื่อมต่อแบบ Holistic connectivity ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อแบบองค์รวม ที่จะทำงานร่วมกับระบบขับขี่อัตโนมัติ สร้างการเชื่อมต่อที่ราบรื่นระหว่างผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ระหว่างรถแต่ละคัน และโครงสร้างพื้นฐาน ผ่านระบบคลาวด์ในตัวรถยนต์ ซึ่งเทคโนโลยีนี้เกิดขึ้นจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี Cellular V2X (C-V2X) และการใช้ 5G ที่แพร่หลายขึ้นในหลายประเทศ ซึ่งหากมีการนำมาใช้จริงนั้น  จะช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุได้มากขึ้น เช่น ในสถานการณ์การจราจรบริเวณสี่แยกที่พลุกพล่าน เทคโนโลยีตัวนี้จะช่วยให้ผู้ใช้รถใช้ถนนบริเวณนั้นสามารถสื่อสารกันได้ 

ซึ่ง Holistic connectivity มีเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังการทำงานมากมาย เช่น สำหรับการเชื่อมต่อระหว่างรถ และการจัดการข้อมูลเพื่อให้การทำงานในรถเป็นไปอย่างเหมาะสม จะต้องใช้ระบบคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงและตัวควบคุมโมดูลโซน ในส่วนของการเชื่อมต่อระหว่างผู้ขับขี่และผู้โดยสารภายในรถ สามารถทำได้ด้วยสมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่อกับระบบ Ultar-Wide Band และสุดท้าย เทคโนโลยีเชื่อมต่อทางไกลอัตโนมัติและเสาอากาศอัจฉริยะ จะใช้ในการเชื่อมต่อผู้ใช้รถเข้ากับรถคันอื่นๆ บนถนน ทั้งนี้เป้าหมายสูงสุดของการนำการเชื่อมต่อแบบองค์รวมมาใช้ คือการอำนวยความสะดวกสบาย ให้ข้อมูล และเพิ่มความปลอดภัยแก่ทั้งผู้ขับรถและผู้ใช้ถนน

จากยานยนต์สู่การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ 

ในหัวข้อสุดท้ายของการบรรยาย Mr.Vincent ได้ยกตัวอย่างโครงการเมืองอัจฉริยะในสิงคโปร์ ที่มีการนำเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติมาใช้แล้ว โดยย้อนไปในปี 2563 รัฐบาลสิงคโปร์ได้ประกาศแผนการคมนาคมปี 2583 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้การเดินทางเข้าเมืองในชั่วโมงเร่งด่วนสามารถทำได้ไวขึ้น โดยจะใช้เวลาเพียง 20 นาที และเดินทางเข้าใจกลางเมืองโดยใช้เวลาเพียง 45 นาที ทั้งนี้ สิงคโปร์วางแผนใช้พื้นที่ทางตะวันตกทั้งหมดของสิงคโปร์เป็นสนามทดลอง เพื่อทดสอบรถยนต์ไร้คนขับ ด้วยความร่วมมือที่แข็งแกร่งและการจัดการระบบนิเวศระหว่างเมือง สถาบันวิจัย และอุตสาหกรรมต่างๆ จึงทำให้ปีที่แล้ว สิงคโปร์อยู่ในอันดับต้นๆ ของการวัดดัชนีความพร้อมของรถยนต์อัตโนมัติ ซึ่งจัดอันดับโดย KPMG นอกจากนี้ ในภาคสาธารณะก็เริ่มมีการนำร่องใช้รถยนต์ไร้คนขับแล้วเช่นกัน โดยนำไปใช้สำหรับการขนส่งอาหาร

ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในสิงคโปร์ได้สร้างโครงการที่ประสบความสำเร็จในการคมนาคมมากมาย ซึ่งเป้าหมายหลักของโครงการก็เพื่อปกป้องประชาชนกลุ่มเปราะบางที่ใช้ถนน ตัวอย่างเช่น ผู้สูงอายุหรือเด็กเล็ก ให้มีความปลอดภัย ด้วยการใช้เทคโนโลยี 5G ที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือของคนข้ามถนนและผู้ขับขี่ โดยเมื่ออัลกอริธึมของ AI ในคลาวด์สามารถตรวจจับได้ว่าอาจมีการชนกันระหว่างคนและรถในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า โทรศัพท์มือถือของทั้งสองฝ่ายก็จะดังขึ้น

ไม่เพียงเท่านั้น คุณวินเซนต์ได้แนะนำหุ่นยนต์อัตโนมัติ Corriere LM ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ส่งของสำหรับเมืองอัจฉริยะที่ Continental พัฒนาขึ้น เน้นให้สามารถนำไปใช้งานได้กลางแจ้ง ด้วยระบบเซนเซอร์และคอมพิวเตอร์อัจฉริยะทำให้ตัวหุ่นยนต์สามารถตรวจจับสภาพแวดล้อมรวมถึงสามารถนำทางด้วยตัวเองได้ โดยตอนนี้ทางการสิงคโปร์ได้อนุมัติให้มีการนำไปใช้จริงแล้วในบางพื้นที่




ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

17 เรื่อง AI ต้องรู้ จากรายงาน AI Index 2024

Techsauce ได้สรุป 17 ประเด็นสำคัญจากรายงาน AI Index Report 2024 ซึ่งจัดทำโดย Stanford Institute for Human-Centered Artificial Intelligence (HAI) ที่รวบรวมประเด็นต่างๆ ของปัญญาประดิ...

Responsive image

แนะเทรนด์ลงทุนในสตาร์ทอัพปี 2024 พร้อมช่องทางใหม่ในการระดมทุนจากงาน KATALYST TALK MEETUP #3

บทความที่เอสเอ็มอี สตาร์ทอัพควรอ่านเพื่อเป็นไกด์ไลน์ในการเผชิญความท้าทายในปีนี้ จากการรับฟังภายในงาน KATALYST TALK MEETUP #3 ‘Navigating the Startup Challenges in 2024 and Beyond’...

Responsive image

เตรียมพบกับงาน SEA Blockchain Week 2024 (SEABW) ยกขบวนกูรูผู้เชี่ยวชาญด้านบล็อกเชน และ Web 3 ระดับโลกกว่า 100 คน มาร่วมพูดคุยแบ่งปันประสบการณ์ที่เมืองไทย

Southeast Asia Blockchain Week หรือ SEABW งานด้านบล็อกเชนสุดยิ่งใหญ่ระดับภูมิภาค ที่เตรียมจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ในวันที่ 24-25 เมษายน 2567 ซึ่งจะจัดขึ้น ณ True ICON HALL ช...