จากการกรณีของการที่ภาครัฐยกเลิกสำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้าน เกิดข้อวิพากวิจารณ์ต่างๆนานาในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะเรื่องของความปลอดภัยที่จะเกิดขึ้น Techsauce ได้พูดคุยถึงกรณีดังกล่าวกับ ดร. ภูมิ ภูมิรัตน ที่ปรึกษาของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) และล่าสุดยังเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของคณะกรรมการเตรียมการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ได้อย่างน่าสนใจ
พร้อมมองว่าโครงการ National Digital ID จะช่วยให้ผู้บริการจากเอกชนลดปัญหาการถูกปลอมตัวตนจากผู้ใช้บริการไปได้อย่างมากอีกด้วย
ดร.ภูมิระบุว่าต้องเข้าใจก่อนว่าการยกเลิกการใช้สำเนาไม่ได้กระทบเรื่องการปลอมตัวตน เพราะเขายกเลิกในส่วนที่เราไปติดต่อหน่วยงานราชการ ซึ่งการติดต่อหน่วยงานราชการจะถูกปลอมแปลงไม่ได้มาก เพราะมีความเสี่ยงจะถูกจับได้และได้รับบทลงโทษที่สูง
แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมา ดร.ภูมิ ระบุว่าคือเรื่องของความสะดวกสบาย ประชาชนไม่ต้องไปถ่ายเอกสารแล้ว เมื่อไปติดต่อหน่วยงานของภาครัฐถือแค่บัตรประชาชนไป เขาก็สามารถไปดึงข้อมูลจากบัตรมาใช้ได้ทันที
“เรื่องความปลอดภัยจะกระทบเพียงเล็กน้อย คือต่อไปเราฝากคนอื่นไปทำธุรกรรมจะยากขึ้น ยกเว้นว่าเขาจะรับการมอบอำนาจอยู่ เช่นให้สำเนาไปกับคนอื่น เขาอาจจะยังให้ทำอยู่ แต่ถ้าหากเราไปด้วยตัวเราเองก็จะปลอดภัยขึ้น เพราะเขาจะตรวจบัตรว่ายังใช้ได้ไหม? ใช่ตัวจริงไหม? ซึ่งเขาจะให้เจ้าหน้าที่ตรวจ โดยเขาก็จะมองหน้าเราเทียบกับข้อมูลที่เขาดึงมาจากระบบของรัฐที่มันเชื่อมโยงหากันได้” ดร.ภูมิ กล่าว
ดร.ภูมิเล่าต่อว่าในต่างประเทศไม่มีการใช้สำเนากันอยู่แล้ว ใช้เพียงการแสดงเอกสารบางอย่างเพื่อยืนยันตัวตนกับเจ้าหน้าที่ จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะเอาข้อมูลไปคีย์เข้าระบบไว้ ซึ่งที่เราถ่ายเอกสารไว้
“มีเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่ยังคงใช้สำเนาทำทุกอย่าง ส่วนหนึ่งเกิดจากการไม่ไว้ใจการปฏิบัติหน้าที่ แต่ใน ต่างประเทศปัญหานี้เขาไม่ค่อยมี ตอนนี้ระบบการปฏิบัติงานของเราก็ยังคงไม่ไว้ใจเจ้าหน้าที่อยู่ ต้องเสียบบัตรประชาชนเข้ากับเครื่องอ่าน จากนั้นคอมพิวเตอร์ก็ไปดึงข้อมูลเองอัตโนมัติ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของเราที่ไม่ไว้ใจคนปฏิบัติงาน” ดร.ภูมิกล่าว
ดร.ภูมิกล่าวต่อว่าการอนุญาตให้ยกเลิกการใช้สำเนาบัตรประชาชนได้ ต้องมีการแก้ระเบียบว่าไม่ต้องเอาสำเนามาเก็บไว้แล้ว ซึ่งเอกชนไม่ได้ประโยชน์เลย แต่จะได้ประโยชน์ในแง่ที่เอกชนไปติดต่อภาครัฐก็จะง่ายขึ้นเท่านั้น
แต่การเข้ามาของ National Digital ID (หลังจากนี้ผู้เขียนจะใช้คำว่าเรียกว่า Digital ID) ประชาชนทุกคนจะได้ความน่าเชื่อถือจากการยืนยันตัวตยกับองค์กรที่สาม อย่าง IdP (Identity Provider) ซึ่งคือสิ่งที่ Digital ID กำลังทำ ประชาชนไปพบเจ้าหน้าที่ 1-2 ครั้งเพื่อยืนยันตัวตน แต่หลังจากนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมาเจอเจ้าหน้าที่อีก
ในอนาคตจะมีหลายบริษัทที่จะลุกขึ้นมาให้บริการ IdP เป็นจำนวนมาก คาดว่าจะมีการตั้งชื่อบริการอย่างสนุกสนาน แต่ทุกอย่างจะเชื่อมโยงกัน
ซึ่ง ดร.ภูมิก็มองว่า กลไลรัฐที่เปลี่ยนแปลงเรื่องสำเนาบัตรประชาชนก็ส่งผลดีต่อ Digital ID ในอนาคตด้วยเช่นกัน
Techsauce ถามว่าหากจะอธิบายเรื่อง Digital ID ให้คนเข้าใจว่ามี Security และ Privacy อย่างไร?
ดร.ภูมิตอบว่าโดยคุณสมบัติหรือสถาปัตยกรรมของมันออกแบบมาเพื่อ Privacy เลย ทุก Operation และ Function ที่จะใช้ในการแสดงตัวตนหรือไปดึงข้อมูลเรามาเพื่อทำธุรกรรมใด ๆ ก็ตามแต่ มันจะได้รับการยินยอมจากเราก่อน เจ้าตัวจะต้องกดยินยอม ซึ่งจะมีการระบุว่าคนขอข้อมูลจะขอได้ละเอียดแค่ไหน คนให้ข้อมูลจะต้องแสดงอะไร ก็จะมีมาตรฐานกำหนดไว้
ส่วนเรื่องของ Security ดร.ภูมิแบ่งออกเป็นสองประเด็น คือ
“ถ้าคุณไม่มี ID เลย เขาต้องหลอกองค์กรเหล่านี้ให้ได้อย่างน้อย 1 องค์กร แต่องค์กรเหล่านี้จะมี Process และมาตรฐานที่ถูกยกระดับขึ้นมา แต่ถ้าคุณมี ID บนระบบนี้ คนอยากปลอมเป็นคุณ ต้องไปหลอก 1 องค์กร และไปหลอกให้คุณกดอนุญาตเพื่อให้เขาไปอยู่ในการควบคุม ซึ่งจะเป็นไปได้ยากที่เรากดอนุญาตให้มิจฉาชีพมาทำธุรกรรมได้ “ ดร.ภูมิกล่าว
ดร.ภูมิยังเผยด้วยว่าระบบ Digital ID จะเสร็จสมบูรณ์คงใช้เวลานาน เพราะเป็นโครงการที่สร้าง Infrastructure เพื่อเชื่อมเอาทั้งรัฐและเอกชนเข้าด้วยกัน ซึ่งก็ต้องค่อย ๆ เชื่อมโยงเข้ากับแต่ละหน่วยงาน ซึ่งกว่าจะเชื่อมครบทุกองค์กร ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป
แต่คาดการณ์ว่าบุคคลทั่วไปจะเริ่มใช้ Digital ID ได้ภายในสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า โดยจะเอามาใช้ในบางธุรกรรมได้ เช่น ซื้อประกันได้ เปิดบัญชีธนาคารได้
ในอนาคตก็จะสามารถแจ้งความทางออนไลน์ ซึ่งก็ต้องเชื่อมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติก่อน จะยื่นฟ้องร้องต่อศาลได้ ก็ต้องรอศาลมาเชื่อมระบบก่อน เป็นต้น
ส่วนนิติบุคคลจะผลักดันให้ใช้ Digital ID ภายในสิ้นปีหน้า หลังจากนี้องค์กรไหนจะเอา Services มาเชื่อมก็จะตามมาในภายหลัง
"ผมไม่มองว่ามันเสร็จเมื่อไหร่ ผมมองว่ามันเริ่มใช้ได้เมื่อไหร่ มันใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างที่ต้องการได้เมื่อไหร่ อันนั้นคือสิ่งที่น่ามอง โดยเราก็มองเป็นเคส ๆ ไป" ดร.ภูมิกล่าว
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด