
ชื่อของ Edwin Chen อาจไม่เป็นที่คุ้นหูคนทั่วไป แต่ในแวดวงเทคโนโลยี เขาคือหนึ่งในบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดอย่างเงียบๆ ชายวัย 37 ปี อดีตพนักงานจาก Google, Facebook และ Twitter คนนี้ คือผู้ก่อตั้ง Surge AI บริษัทที่อยู่เบื้องหลังการฝึกฝนโมเดล AI ระดับโลกอย่าง Gemini และ Claude และในวันนี้ เขาพร้อมแล้วที่จะก้าวออกจากเงามืดในฐานะสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดของทำเนียบมหาเศรษฐี Forbes 400
เรื่องราวของ Chen เริ่มต้นขึ้นในอพาร์ตเมนต์ที่แมนฮัตตัน ที่ซึ่งเขาใช้เวลาไปกับการตรวจสอบชุดข้อมูล อ่านงานวิจัย และทดลองโมเดล AI ล้ำสมัย ก่อนจะเดินไปยัง Starbucks Reserve Roastery สุดหรูในบริเวณใกล้เคียง ที่นั่น ท่ามกลางบรรยากาศวุ่นวาย เขาได้เปิดฉากสนทนานานสองชั่วโมง เล่าถึงทุกอย่างตั้งแต่วัฒนธรรม Silicon Valley ที่เขาไม่ชอบ ไปจนถึงมุมมองต่อคู่แข่งว่าเป็นเพียงบริษัทจัดหาคนและจินตนาการถึงวิธีสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว
แรงบันดาลใจสำคัญในการก่อตั้ง Surge AI ในปี 2020 ของเขา มาจากเรื่องสั้นไซไฟเรื่องโปรด 'Story of Your Life' ซึ่งเป็นต้นฉบับของภาพยนตร์เรื่อง 'Arrival' ที่ว่าด้วยการถอดรหัสภาษาของสิ่งมีชีวิตต่างดาว Chen ต้องการให้บริษัทของเขาสามารถเข้ารหัส 'ความร่ำรวยของมวลมนุษยชาติ' ลงใน AI ได้ ซึ่งหมายถึงการนำมนุษย์ที่ฉลาดที่สุด ไม่ว่าจะเป็นศาสตราจารย์จาก Stanford, Princeton, Harvard ไปจนถึงกองทัพ 'gig worker' กว่าล้านคนจาก 50 ประเทศทั่วโลก มาช่วยกันสอน, ตั้งคำถามท้าทาย และประเมินผล AI เพื่อให้ได้คำตอบที่สมบูรณ์แบบที่สุด
'ผมคิดจริงๆ ว่าสิ่งที่เราทำนั้นสำคัญอย่างยิ่งต่อโมเดล AI ทั้งหมด และถ้าไม่มีเรา AGI (ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป) ก็จะไม่เกิดขึ้น และผมต้องการให้มันเกิดขึ้น' Chen กล่าว
สิ่งที่ทำให้ Chen แตกต่างจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในวงการ คือการปฏิเสธเส้นทางสำเร็จรูปแบบ Silicon Valley เขาเลือกที่จะ 'bootstrapping' หรือสร้าง Surge AI ขึ้นมาด้วยเงินเก็บสองสามล้านเหรียญ ของตัวเอง แทนที่จะระดมทุนจาก Venture Capital (VC)
'หนึ่งในเหตุผลที่เรา bootstrapping คือผมเกลียดเกมชิงสถานะของ Silicon Valley มาโดยตลอด' Chen กล่าว เขาเปรียบเทียบสตาร์ทอัพที่พึ่งพา VC ว่าเป็นเหมือนแผนการรวยทางลัด ที่นำไปสู่การจ้างงานล้นเกินความจำเป็น ตรงกันข้ามกับ Surge AI ที่มีพนักงานเพียง 250 คน (รวมทุกรูปแบบการจ้าง) แต่สามารถสร้างรายได้สูงถึง 1.2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 ซึ่งสูงกว่าคู่แข่งรายใหญ่อย่าง Scale AI ที่มีพนักงานมากกว่าถึงสี่เท่า
ความสำเร็จนี้ส่งผลให้ Surge AI มีมูลค่าประเมินสูงถึง 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำลังเจรจาระดมทุนรอบใหม่ที่มูลค่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์ การตัดสินใจที่ไม่พึ่งพา VC ทำให้ Chen ถือหุ้นในบริษัทราว 75% คิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินประมาณ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่งให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีหน้าใหม่ที่ร่ำรวยและอายุน้อยที่สุดในทำเนียบ Forbes 400 ประจำปีนี้
หัวใจของ Surge AI คือแนวทางที่แตกต่างในการติดป้ายข้อมูล (Data Labeling) แทนที่จะจ้างแรงงานราคาถูกเพื่อทำงานซ้ำซากจำเจ Surge กลับลงทุนกับการจ้างผู้เชี่ยวชาญและคนที่มีความเข้าใจในภาษาและบริบทอย่างลึกซึ้ง พวกเขาอาจถูกขอให้พยายามหลอกล่อให้แชทบอทตอบสนองในทางที่ผิด หรือเปรียบเทียบคำตอบของ AI ที่แตกต่างกันเพื่อหาคำตอบที่ดีที่สุด
นักวิจัยคนหนึ่งที่เคยทำงานกับ Google เล่าว่าเขาโทรหา Chen ในคืนวันเสาร์ หลังจากที่โมเดล Gemini อยู่ในสภาพที่ค่อนข้างแย่ การสนทนาครั้งนั้นกินเวลากว่าสองชั่วโมง และนำไปสู่สัญญาว่าจ้างมูลค่ากว่า 100 ล้านดอลลาร์ต่อปี 'คุณรู้สึกเหมือนกำลังจ่ายเงินเพื่อคุณภาพ เทียบกับการจ่ายเงินสำหรับชั่วโมงการทำงาน' เขากล่าว
แม้ว่าลูกค้าจะไม่รู้ถึงสูตรลับเบื้องหลังข้อมูลคุณภาพสูงของ Surge แต่บริษัทก็ใช้ระบบที่ซับซ้อนในการตรวจสอบประสิทธิภาพของผู้ติดป้ายข้อมูล ทั้งแบบทดสอบที่ซ่อนอยู่, การรีวิวโดยผู้เชี่ยวชาญ และอัลกอริทึมที่คอยวัดผลอยู่ตลอดเวลา
ปรัชญาการให้ค่ากับความคิดสร้างสรรค์ยังสะท้อนผ่านการจ้างงานของเขาด้วย Chen อาจถามคำถามผู้สมัครงานเกี่ยวกับนักเขียนชื่อดังอย่าง David Foster Wallace พอๆ กับการขอให้เขียนโค้ด ทำให้พนักงานของ Surge ราว 20% มาจากพื้นฐานที่ไม่ใช่สายเทคโนโลยีโดยตรง
แม้จะประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่เส้นทางของ Surge AI ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ บริษัทกำลังเผชิญกับคลื่นสึนามิของเงินทุน VC ที่หลั่งไหลเข้าสู่คู่แข่ง, คดีความฟ้องร้องแบบกลุ่มในแคลิฟอร์เนียที่กล่าวหาว่าบริษัทจัดประเภทพนักงานอย่างไม่เป็นธรรมเพื่อเลี่ยงการจ่ายสวัสดิการ และคำถามสำคัญที่ว่าในอนาคต AI จะสามารถสร้างข้อมูลสังเคราะห์ (Synthetic Data) เพื่อฝึกฝนตัวเองได้หรือไม่ ซึ่งอาจลดทอนความจำเป็นในการใช้มนุษย์
นอกจากนี้ ตลาดนี้ยังไม่มีความภักดี ลูกค้ารายใหญ่อย่าง OpenAI ได้ยุติการใช้บริการไปแล้ว ขณะที่ Cohere ก็หันไปทำ Data Annotation ภายในองค์กรเอง
อย่างไรก็ตาม Chen ยังคงมุ่งมั่นในวิสัยทัศน์ของเขา เขามีความกังวลว่าโมเดล AI ในปัจจุบันกำลังถูกปรับให้เหมาะสมกับสิ่งที่ผิดพลาด คล้ายกับอัลกอริทึมของ YouTube และ Twitter ที่เน้น 'clickbait' และเขาต้องการให้ Surge ช่วยชี้นำอุตสาหกรรม AI ไปในทิศทางที่ถูกต้อง
เมื่อถูกถามถึงอนาคต Chen ยืนยันว่าเขา 'ไม่สนใจที่จะถูกซื้อกิจการโดยพื้นฐาน' และไม่มีแผนจะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ (IPO) เขาตั้งใจจะบริหาร Surge ต่อไปจนกว่า AGI จะเกิดขึ้นจริง ซึ่งเขาคาดการณ์ว่าอาจใช้เวลาอีกราว 20 ปี
'ถ้า Surge ไม่มีอยู่ Edwin จะทำอะไรเพื่อความสนุก?' Nick Heiner หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัทกล่าว 'เขาก็คงจะสร้างข้อมูลและฝึก AI อยู่ดี มันบังเอิญเป็นสิ่งที่ทำเงินได้มาก แต่มันก็เหมือนกับการดู Michael Jordan ดังค์ มันเป็นสิ่งที่ผู้ชายคนนี้เกิดมาเพื่อทำ'
ที่มา: Forbes
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด