ที่งาน “NTCC Business 4.0, Innovation Award Dinner 2017” จัดขึ้นโดย The Netherlands-Thai Chamber of Commerce ทีมงาน Techsauce มีโอกาสได้เข้าไปพูดคุยกับคุณอัษฎา หะรินสุต ประธานกรรมการ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ถึงมุมมองต่อการพัฒนา EnergyTech และ CleanTech ของเชลล์ รวมถึงมุมมองต่อเทคโนโลยีที่จะมา Disrupt ธุรกิจน้ำมัน
โลกของเรากำลังเข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานครั้งสำคัญ เนื่องด้วยการเจริญเติบโตของจำนวนประชากร จาก 7500 ล้านคน เป็นหมื่นล้านคนภายในปี 2050 ซึ่งนั่นส่งผลให้ความต้องการด้านพลังงานเพิ่มขึ้นตามไปด้วย อาจจะเพิ่มมากขึ้นถึงสองเท่า และประชากรที่เพิ่มมากขึ้นนั้น ก็เป็นคนชั้นกลางที่เพิ่มมากขึ้นด้วย คนเหล่านี้จะมีความต้องการใช้พลังงานมากขึ้น ทั้งเพื่อการเดินทาง และการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน อย่าง ตู้เย็น เครื่องล้างจาน เป็นต้น
ปัญหาที่โลกเรากำลังเผชิญ ทั้งปัญหาโลกร้อน และสภาพแวดล้อม ทำให้เราต้องการพลังงานสะอาดที่มีคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลง และมีความยั่งยืนมากขึ้น ดังนั้นเวลาที่เชลล์คิดถึงเรื่องพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ เรามักจะคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้คน ผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจ และอีกหลายๆ ด้านเสมอ ว่าเทคโนโลยีใหม่นี้มันจะใช้ได้หรือไม่ได้ เรามักจะมองในภาพรวมของสังคม ว่าเทคโนโลยีนี้จะถูกนำไปใช้อย่างไร และจะมันจะถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรเมื่อเวลาผ่านไปในอนาคต เพราะฉะนั้น มันจึงไม่ได้เกี่ยวข้องแค่ตัวเทคโนโลยีเท่านั้น แต่มันรวมถึงความเข้าใจว่าเทคโนโลยีจะทำงานอย่างไร และมีผลอย่างไรต่อสังคมด้วย
นอกจากนี้ เรายังมองนวัตกรรมที่เกี่ยวกับผู้คน ทั้งการพัฒนาคนให้สามารถสร้างนวัตกรรมได้เร็วขึ้น การทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์เพื่อแก้ปัญหาใหญ่นี้ เนื่องจากแค่เราตัวคนเดียว ไม่สามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้ เราจึงร่วมงานกับทั้งภาครัฐ และบริษัทเทคโนโลยีเพื่อร่วมกันแก้ปัญหา ซึ่งทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราคำนึงถึงเสมอเมื่อพัฒนานวัตกรรมใหม่
เชลล์ตระหนักดีถึงความเปลี่ยนแปลงของความต้องการด้านพลังงาน ที่ต้องการพลังงานสะอาด ดีต่อสภาพอากาศ และหนึ่งในสิ่งที่ผู้คนพูดถึงกันมาก ก็คือยานยนต์ไฟฟ้า แต่ผมคิดว่าเวลาที่เราพูดถึงยานยนต์ไฟฟ้า คนส่วนใหญ่จะยังไม่ค่อยรู้ว่า จริงๆ แล้ว มันสามารถแบ่งได้ออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ อย่างแรกคือ แบบที่ใช้แบตเตอรี่ อย่างที่สองคือ ยานยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง และ เทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงเอทานอล ซึ่งทั้งสามอย่างนี้มีแหล่งเก็บพลังงานต่างกันออกไป แต่ก็ถือเป็นยานยนต์ไฟฟ้าเช่นกัน
เชลล์ได้ตั้งบริษัทหน่วย New Energies ขึ้นมาเพื่อศึกษาและลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ และจากสตาร์ทอัพ เพื่อเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น โดยเรามีแผนใช้งบประมาณ 1-2 พันล้านดอลลาร์ต่อปี เพื่อลงทุนในพลังงานใหม่ ที่รวมถึงพลังงานสะอาด ก๊าซ เชื้อเพลิงชีวภาพที่มีคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ และ Ethanol ที่ประเทศไทยกำลังใช้อยู่ โดยเราสามารถผลิตพลังงานเหล่านี้ ให้มีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมน้อยที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาเชลล์ได้ร่วมกับเกรษตรกรนับพันคน เพื่อผลิตน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยไม่บุกรุกพื้นที่ป่าและไม่ปล่อยมลพิษลงแม่น้ำ
สิ่งที่เชลล์กำลังทำในประเทศไทยเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับพลังงานใหม่ที่ยั่งยืน โดยเฉพาะกับประเทศเราที่ปัจจุบันรัฐบาลกำลังมุ่งเน้นให้มีการใช้ เชื้อเพลิงชีวภาพ และผลักดันให้เป็นผู้นำอุตสาหกรรมชีวภาพในระดับโลก ตามนโยบาย Thailand 4.0
DYNAFLEX เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด และเป็นเชื้อเพลิงที่ถูกพัฒนามาอย่างดีที่สุดของเชลล์ ตั้งแต่เริ่มทำการคิดค้นมาเป็น 100 ปี โดยเชลล์มีความเชื่อมั่นในเรื่องการพัฒนานวัตกรรมมาตั้งนานแล้ว และเราได้ทำการทดลองเทคโนโลยีและเชื้อเพลิงใหม่อยู่ตลอด เราทดลองกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก และนำมาปรับใช้กับประเทศไทย ซึ่ง DYNAFLEX นี้ สามารถให้ความแรงและประสิทธิภาพที่มากขึ้นกว่าน้ำมันเชื้อเพลิงเกรดธรรมดา คืนพลังให้เครื่องยนต์ได้สูงสุดถึง 100% มีสารทำความสะอาด ลดแรงเสียดทาน และช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่บั่นทอนสมรรถนะของเครื่องยนต์ในชิ้นส่วนสำคัญของระบบน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึง 80% นอกจากนั้นยังช่วยประหยัดมากขึ้นด้วย
อย่างแรกคือเราต้องตระหนักก่อนว่าเทคโนโลยีดิจิทัลจะกลายมาเป็นส่วนสำคัญของสังคม และจะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คน รวมถึง disrupt โมเดลธุรกิจที่มีในปัจจุบัน
ดังนั้นองค์กรใหญ่ๆ จึงควร disrupt ตัวเองก่อนที่คนอื่นจะมา disrupt เรา
เช่นเดียวกับที่เชลล์ ได้ตั้งหน่วย New Energies ขึ้นมา เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ตามทันโลกปัจจุบันและอนาคต ดังนั้นการรวบรวมความคิดจากหลายๆ คนก็เป็นสิ่งสำคัญ มันเหมือนกับการออกไปดูว่าจะมีอะไรมา disrupt เราบ้าง แล้วเราจะกลับมาทำอะไรใหม่ให้กับธุรกิจหลักของเรา เราจึงต้องมองไปที่ความเสี่ยงต่างๆ และลดความเสี่ยงนั้นด้วยธุรกิจใหม่
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด