เราต้องยอมรับก่อนว่าเพียง 1% ของสตาร์ทอัพเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จ แต่ก็ไม่ใช่ข่าวร้ายเสมอไปเพราะที่สำคัญมันอยู่ที่ว่า ในขณะที่เราล้มเหลวเราได้มีการแก้ปัญหาเหล่านั้นและปรับปรุงอย่างไร ในงาน Techsauce Summit 2016 ห้อง Startup Essential by dtac accelerate มีกูรูด้าน Technology & Innovation Scott Bales กรรมการผู้จัดการ Innovation Labs Asia ที่จะมาแชร์เทคนิคและเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับสตาร์ทอัพเพื่อให้สตาร์ทอัพผลิตสินค้าหรือบริการที่ตอบโจทย์ตลาดและหาตลาดรองรับที่ดี
Scott แนะนำว่าต้องเริ่มจากการเปลี่ยนวิธีการคิดก่อน - เราอาจจะต้องลองผิดลองถูกก่อนสัก 4-5 ครั้ง กว่าจะได้ market mix ที่ดี และการที่เรามองว่าไอเดียแรกไม่มีทางที่จะเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบ เราจะเปิดใจและเห็นโอกาสใหม่ๆ ที่จะทำให้มันดีขึ้นได้ เราไม่ต้องสนใจว่าเราจะแก้ปัญหาอย่างไร แต่ Passion ที่จะอยากแก้ปัญหาเหล่านั้นคือสิ่งสำคัญ
การใช้ Javelin Experiment Board (ดาวน์โหลดฟรีที่นี่)
โดยเริ่มต้นจากการ Brainstorm ว่าลูกค้าของเราคือใครและเขามีปัญหาอะไร หลังจากนั้นเราก็สามารถคาดการณ์ได้ว่าเขาเป็นคนยังไง หลังจากนั้นก็ออกไปทดลองว่าสิ่งที่เราคิดเป็นแบบนั้นหรือเปล่า สิ่งสำคัญที่สุดเราจะต้องเอาไอเดียของเราไปทดลองว่าความต้องการในตลาดมีจริงๆ หรือไม่
‘คนชอบกลัวว่าคนอื่นจะมาขโมยไอเดียเลยไม่อยากออกไปถามคนอื่นๆ แต่จำไว้เลยว่าไอเดียที่คุณคิดว่าเป็นของคุณ ถ้าคุณพูดออกมา ผมมั่นใจว่าต้องมีอย่างน้อย 3 คน ที่มีไอเดียเหมือนคุณ ไอเดียไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้คุณแตกต่างจากคนอื่น แต่วิธีที่คุณสร้างสรรค์มันออกมาต่างหากที่จะทำให้คุณแตกต่าง’
ในการทำสตาร์ทอัพจะต้องมีหัวใจหลัก 3 ข้อ สิ่งแรกคือสมมติฐานเกี่ยวกับลูกค้า เมื่อเรารู้จักลูกค้าของเราอย่างแท้จริง (consumer insight) สิ่งถัดไปคือปัญหาที่เขามี อย่าคิดที่จะแก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่ บางสตาร์ทอัพมีฟังก์ชั่นการใช้งานเลิศหรู อลังการ แต่ไม่ได้ไปแก้ปัญหาอะไรก็ไปไม่รอด หลังจากมี consumer insight เจอปัญหาที่อยากจะเข้าไปแก้ สุดท้ายคือเรื่องวิธีการแก้ปัญหาตัวอย่างสตาร์ทอัพที่ดีคือ dropbox เพราะ dropbox สามารถมีลูกค้าได้ตั้งแต่ที่โปรดักส์ยังไม่เสร็จ เป็นเพราะว่า dropbox เข้าไปแก้ปัญหาของลูกค้าได้จริงๆ และมีการเอาโปรดักส์ออกไปทดสอบหาตลาดก่อนแล้วด้วย โดยใช้วิธีการการทำวิดิโอแนะนำ
อย่าแม้แต่ที่จะคิดเขียนโค้ดถ้าคุณยังไม่ได้ทดสอบว่าลูกค้าของคุณมีจริงหรือเปล่ารวมถึงปัญหานั้นด้วยเช่นกัน
มีเครื่องมือหลายอย่างที่คุณสามารถใช้ทดสอบไอเดียได้ เช่น การทำ landing page, facebook ads ทำ prototype ขึ้นมาเลยก็ได้ไม่ต้องรีบร้อนที่จะทำโปรดักส์ของคุณออกมาหรอก เรียนรู้วิธีการใช้เครื่องมือพวกนี้ให้หมดก่อนที่จะเริ่มมองหาคนเขียนโปรแกรม เชื่อเถอะเมื่อไรที่คุณเจอเขามันจะเป็นพันธสัญญาที่จะอยู่กันไปอีกนานแสนนานกับการหา co-founder ก็เหมือนกัน ไม่ต่างกับการมีคู่ชีวิต อย่าคิดที่จะเซ็นสัญญากับใครว่าจะเป็น co-founder ถ้าคุณยังเขินอายที่จะคุยกับเขา คุณต้องผ่านความรู้สึกเหล่านั้นมาให้ได้เสียก่อน
เหตุการณ์ตัวอย่าง
มีบริษัทผลิตเครื่องซักผ้าเจ้าใหญ่อยากจะเข้าไปขายในตลาดอินเดีย เขาเชื่อว่าเหล่าแม่บ้านอินเดียจะเลิกซักผ้าลงในแม่น้ำและจะหันมาใช้เครื่องซักผ้าแทน ปรากฏว่าแม่บ้านทั้งหลายก็ยังซักผ้าอยู่ที่แม่น้ำต่อไป มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ยอดขายของเครื่องซักผ้าก็ไม่ได้ดีนัก เขาจึงตัดสินใจจ้างบริษัทให้คำปรึกษามาช่วยศึกษาเรื่องนี้ พวกเขาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น เขาตัดสินใจสั่งน้ำมะม่วงปั่นมาดื่ม และค้นพบว่า… น้ำมะม่วงปั่นนั้นมาจากเครื่องซักผ้า เราคิดมาตลอดว่าเครื่องซักผ้ามีไว้ซักผ้าแต่จริงๆแล้วมันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคิดก็เป็นได้
1) การสร้างตัวละครที่จะเป็นลูกค้าของคุณ (Persona Development) (สามารถดาวน์โหลดฟอร์มฟรี: http://scottebales.com/personas/)
คำถาม 4 ข้อที่ต้องตอบเกี่ยวกับลูกค้าของคุณ
Fact: เพศ, อายุ, การใช้ชีวิต, เขาเป็นอย่างไร, ขับรถไหม, อายุเท่าไร, สถานะ, แรงผลักดันในชีวิตคืออะไร
Goal: เขามีเป้าหมายอะไร
อีก 2 หัวข้อที่เหลือเป็นสิ่งสำคัญมาก
Pain: อะไรคืออุปสรรค/ปัญหาในการที่จะบรรลุเป้าหมายของเขา เช่นชายคนหนึ่งอยากเลิกสูบบุหรี่แต่มันเป็นเรื่องยากมากเมื่อเขาเริ่มดื่ม
การที่คุณพยายามบอกให้คนที่สูบบุหรี่เลิกสูบบุหรี่เป็นเรื่องไร้สาระมากๆ สำหรับการทำสตาร์ทอัพ เรามองหาคนที่รู้ตัวว่าตัวเองมีปัญหาและพยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้ปัญหานั้น
Behavior: สิ่งที่เขาทำเพื่อแก้ปัญหาที่กำลังเจอ เป็นตัวชี้วัดสำคัญเลยว่าเขาจะเป็นคนที่มาใช้โปรดักส์ของเราหรือไม่ เพราะการจะไปเปลี่ยนนิสัยคนไม่ใช่เรื่องง่าย
กลุ่มคนที่สตาร์ทอัพควรเลือกเป็นกลุ่มลูกค้ามากที่สุด
ถ้าคุณดูจากทฤษฎีการแพร่กระจายของนวัตกรรม (Diffusion of Innovation) สตาร์ทอัพที่ดีจะเลือก Early Adopters เพราะคนกลุ่มนี้คือคนที่รู้ว่าตัวเองมีปัญหามีความพยายามที่จะแก้ปัญหาหรือเริ่มมีการจ่ายเงินไปกับการแก้ปัญหาเหล่านั้น สิ่งที่แย่ที่สุดสำหรับการเป็น entrepreneur คือการพยายามให้โปรดักส์ของคุณอยู่ในกระแสเร็วเกินไป สิ่งที่ตามมาก็คือ Early Majority คือคนที่รู้ว่าตัวเองมีปัญหาแต่ไม่ได้พยายามจะแก้ปัญหา ถ้าคุณอยากให้เขามาเป็นลูกค้าคุณก็ต้องทำให้เขาได้ลองแก้ปัญหาสักครั้ง หรือกลุ่มถัดมาคือคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองมีปัญหา เขาจะต่อต้านในสิ่งที่คุณคิด และผมเชื่อว่าคุณคงไม่อยากสเสียพลังงานโดยใช้เหตุกับการพยายามโน้มน้าวคนพวกนี้
2) ทดสอบสมมติฐานที่เกี่ยวกับลูกค้า
หลังจากที่คุณใช้เทคนิคมากมายและได้สมมุติฐานเกี่ยวกับลูกค้ามาแล้วอย่างเต็มที่ ส่วนถัดไปคือการเอาข้อมูลเหล่านั้นมาดูว่า สิ่งที่คุณพบคิดมานั้นถูกต้องหรือมีจริงหรือไม่ ใช้วิธีไปคุยกับคนจริงๆ แบบตัวต่อตัวเลย
3) หลังจากนั้นผมจะ pitch ไอเดียว่าสิ่งที่ทำได้แก้ปัญหาจริงๆ หรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็น แบบสอบถาม landing page, pre-release, เพื่อให้ได้อีเมลล์หรือข้อมูลของลูกค้า
คุณไม่ต้องทำโปรดักส์คุณจริงๆ ทำของปลอมขึ้นมา! แล้วออกไปหา feedback
4) เรียนรู้จากการทำซ้ำๆ ทุกครั้งที่ทำการตั้งสมมติฐาน เอาไปทดลองในตลาดจริงๆ คุณจะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เกี่ยวกับลูกค้าของคุณ ปัญหาที่คุณจะเข้าไปแก้ รวมถึงวิธีการแก้ปัญหานั้นๆด้วย
ถ้าคุณทำรีเสิร์ชมาเรียบร้อยแล้ว คุณจะพอเห็นวิธีการแก้ปัญหา คุณต้องใช้อุปนิสัยหรือสิ่งที่ลูกค้าทำอยู่แล้วเป็นปกติอย่างที่ผมพูดข้างต้น เราไม่ควรพยายามเปลี่ยนอุปนิสัยของผู้ใช้นั้นจะเป็นหนึ่งปัจจัยที่กีดขวางไม่ให้ลูกค้ามาใช้โปรดักส์ของเราได้
ตัวอย่างสถานการณ์
นอกเหนือจากสิ่งที่คุณได้เรียนรู้วันนี้จากใช้ experiment board และสมมติฐาน 3 หัวข้ออีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากฝากไว้นั้นก็คือ
เนื่องจากเป็นส่วนที่ค่อนข้างสำคัญมากๆ เพราะเราทำทุกอย่างให้ขึ้นอยู่กับผู้ใช้เป็นหลักดังนั้นการจะเข้าหาผู้ใช้อาจจะต้องมีเทคนิคนิดหน่อย
อัดแน่นมากจริงๆ กับsession นี้ ถ้าใครสนใจอยากเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมจากสไลด์ สามารถดูได้ที่นี่ จำไว้ว่าสมการการหาวิธีแก้ปัญหาก็มีเท่านี้ ใช้สิ่งที่เขาทำเนี่ยแหละให้เขาได้บรรลุเป้าหมายของเขา ในขณะที่แบ่งเบาในด้านอุปสรรคของเขา (Behavior + Goal) - Pain = Solution!
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด