เทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่เพียงส่งผลต่อการพัฒนา Product และ Service เท่านั้น แต่ยังรวมถึง Business Model แบบใหม่อันเกิดจากการทลายข้อจำกัดโดยเทคโนโลยีด้วย ซึ่งหนึ่งใน Business Model ที่เด่นชัดในยุคเศรษฐกิจ 4.0 ก็คือ Freemium เห็นได้จากการที่ Application และ Online Service เลือกใช้รูปแบบนี้และประสบความสำเร็จเด่นชัดทีเดียว หลายคนคงอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไม Freemium ถึงเป็นที่นิยม แล้วรูปแบบนี้ทำงานอย่างไร และเราจะประยุกต์ใช้มันอย่างไร เราจะพาทุกคนไปคลายข้อสงสัยกัน
Freemium ได้รับการคิดค้นตั้งแต่ยุค 1980 เพื่อขาย License Software เป็นรูปแบบการให้บริการลูกค้าที่แยกออกเป็น 2 ระดับชัดเจน ได้แก่ Free ที่เปิดให้ลูกค้าใช้บริการได้โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย แต่จะมีการตัด Feature และจำกัดบริการบางส่วน กับ Premium ที่ลูกค้าต้องจ่ายเงินเพื่อใช้บริการพร้อม Feature ที่มากกว่าเดิม
โมเดล Freemium เหมาะสมกับธุรกิจที่ลูกค้ารู้อยู่แล้วว่าจะได้รับบริการอะไรและอย่างไร จึงเหมาะกับที่บริการทั้งหมดเกิดขึ้นบน Cloud Computer เช่น Infrastructure-as-a-Service หรือ Software-as-a-Service ที่สามารถเพิ่มจำนวนผู้บริการได้โดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุนมากนัก นั่นจึงทำให้ Freemium กลับมาได้รับความนิยม เพราะเข้าถึงลูกค้าจำนวนมากได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องต้นทุน
Freemium จะต่างกับโมเดลธุรกิจอย่าง Free-Trial ที่ผู้ใช้สามารถใช้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ตลอดที่เปิดให้บริการ ส่วน Free-Trial เป็นการทดลองใช้ฟรีแบบจำกัดเวลา Freemium ทำให้ผู้ใช้บริการได้ทดลองใช้จนเกิดประสบการณ์ใช้งานที่ยาวนานพอและตัดสินใจ Upgrade เป็น Premium ได้ง่ายขึ้น
ต้องยอมรับว่า Freemium เป็นโมเดลธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากในยุคที่ทุกคนเข้าถึงบริการทางออนไลน์ โดย Application ที่ใช้โมเดลนี้และประสบความสำเร็จอย่าง Dropbox, Spotify, Slack หรือ Evernote จะมีผู้ใช้หลักร้อยล้านคนทั้งยังมีส่วนแบ่งในตลาดที่สูงด้วย ซึ่งความโดดเด่นของโมเดลนี้ประกอบด้วย
สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเมื่อทำธุรกิจบริการแบบ Freemium คือจุดสมดุลของ Function ที่เปิดให้ใช้ Free และที่เพิ่มเติมมาในขั้น Premium โดยเฉพาะในส่วน Free ที่ผู้ใช้จะได้สัมผัสเป็นสิ่งแรกก่อนตัดสินใจใช้บริการ ซึ่งหากเจ้าของ Product ไม่สามารถรักษาสมดุลได้จะเกิดผลดังนี้
Dropbox
Cloud Storage ชื่อดังที่ก่อตั้งในปี 2010 และยึดโมเดลแบบ Freemium มาตลอด ปัจจุบัน Dropbox ให้บริการผู้ใช้ราว 500 ล้านคน ซึ่งมีเพียง 2-4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ Upgrade เป็น Premium แต่กลับทำรายได้มากถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2018
สำหรับบริการ Premium ของ Dropbox มีทั้งส่วนผู้ใช้ทั่วไปอย่าง Dropbox Plus ที่เน้นเพิ่มขนาดพื้นที่ และบริการสำหรับ Enterprise และ Professional อย่าง Dropbox Business และ Dropbox Paper ซึ่งเน้นการ Intregrade กับโปรแกรมอื่นและมีบริการเสริมที่เหมาะสมกับการทำงาน
Spotify
Music Streaming ที่ใช้โมเดล Freemium จนทำให้มีผู้ใช้งานมากถึง 140 ล้านคน โดยมีผู้ใช้บริการแบบ Premium มากถึง 27 เปอร์เซ็นต์ นับเป็นตัวเลขที่สูงมากเมื่อเทียบกับธุรกิจที่ใช้โมเดล Freemium ด้วยกัน นอกจากนี้ยังมีรายได้เพิ่มเติมจากขายโฆษณาเพื่อสนับสนุนลูกค้าที่ใช้บริการ Free ในปี 2017 Spotify ทำรายได้สูงถึง 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่มาจากลูกค้าที่สมัครบริการ Premium
โดยความแตกต่างระหว่างผู้ใช้ Free กับ Premium คือการไม่มีโฆษณาคั่นระหว่างเพลง การกดข้ามเพลงได้ไม่จำกัด และสามารถดาวน์โหลดเพลงมาเก็บไว้ในเครื่องเพื่อฟังโดยไม่ผ่านอินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งทั้งหมดนี้แม้จะดูเป็น Feature เล็กๆ แต่ก็ให้ประสบการณ์ใช้งานที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก จึงทำให้คนขยับขึ้นไปใช้ Premium เยอะขึ้นนั่นเอง
สรุปแล้วการเลือกใช้โมเดลแบบ Freemium ก็ต้องศึกษาและเลือกใช้อย่างชาญฉลาด สำหรับผู้ประกอบการยังมีรูปแบบโมเดลอื่นๆให้ศึกษาเพิ่มเติม โดยสามารถศึกษาข้อมูล และติดตามข่าวสารเพิ่มเติมจากหน่วยงานภาครัฐอย่าง สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล เพียงเข้าไปได้ที่ http://www.depa.or.th
ขอขอบคุณข้อมูลจาก recode.net และ hubspot.com
บทความนี้เป็น Advertorial
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด