
ในยุคที่ข้อมูลถูกเปรียบเปรยว่าเป็นน้ำมันบ่อใหม่ หรือ "Data is the new Oil" และเทคโนโลยีกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม ส่งผลให้ภาครัฐไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ การทำงานในอดีตที่เปรียบเสมือนไซโลที่ต่างคนต่างทำ ต่างหน่วยงานต่างจัดซื้อระบบ Server หรือ Cloud ของตัวเอง ไม่เพียงแต่สร้างความซ้ำซ้อนและสิ้นเปลืองงบประมาณมหาศาล แต่ยังสร้างกำแพงข้อมูลที่ทำให้การเชื่อมโยงบริการเพื่อประชาชนเป็นไปได้ยาก
นี่คือที่มาของ GDCC (Government Data Center and Cloud Service) หรือ “คลาวด์กลางภาครัฐ” โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลขนาดใหญ่ที่เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์รัฐบาลดิจิทัลของไทย เกิดขึ้นจากการผลักดันของ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) โดย สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ร่วมกับ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ในฐานะผู้ดำเนินการวางระบบ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2562 เพื่อเข้ามาแก้ปัญหาเรื้อรังในอดีตของภาครัฐ ภายใต้แนวคิด “การรวมศูนย์” ที่ไม่ได้ทำเพื่อประหยัดงบเพียงอย่างเดียว แต่กำลังต่อยอดสู่ Open Data ที่เปลี่ยนวิถีชีวิตคนไทย ตั้งแต่การกู้ชีพฉุกเฉิน ไปจนถึงเกษตรกรในไร่อ้อย
คุณเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) ชี้ว่า GDCC ไม่ใช่แค่สถานที่ตั้ง Server หรือ Data Center ทั่วไป แต่คือระบบนิเวศที่ออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการระดับชาติ โดยประกอบด้วย 3 หัวใจหลักที่ทำงานสอดประสานกันอย่างลงตัว ได้แก่
GDCC ทำหน้าที่เป็นชุมสายดิจิทัลขนาดใหญ่ ที่เชื่อมโยงทุกหน่วยงานราชการเข้าด้วยกัน ผ่านเครือข่ายที่มีความเสถียรสูง และมีความหน่วงต่ำ เพื่อให้มั่นใจว่าหน่วยงานรัฐไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ห่างไกลแค่ไหน ก็สามารถเข้าถึงทรัพยากรข้อมูลกลางได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่มีสะดุด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการให้บริการประชาชนแบบ Real-time
ในยุคที่ข้อมูลมีขนาดมหาศาล (Big Data) พลังการประมวลผลคือสิ่งจำเป็น GDCC ให้บริการทรัพยากรการคำนวณในรูปแบบ Virtual Machine (VM) ที่ยืดหยุ่น หน่วยงานรัฐสามารถขยาย หรือ ลดขนาด Server ได้ตามความต้องการใช้งานจริง เช่น ในช่วงที่มีโครงการลงทะเบียนคนละครึ่ง หรือการลงทะเบียนรับวัคซีน ที่มี Traffic มหาศาล GDCC สามารถขยายท่อรับส่งข้อมูลและเพิ่มพลังการประมวลผลเพื่อรองรับผู้ใช้งานหลักสิบล้านคนได้พร้อมกัน โดยไม่เกิดปัญหาระบบล่มเหมือนในอดีต
การจัดเก็บข้อมูลภาครัฐต้องการมาตรฐานที่สูงกว่าภาคเอกชนทั่วไป GDCC จึงถูกออกแบบมาให้มีความปลอดภัยสูงสุด มีการสำรองข้อมูลหลายชั้น และที่สำคัญคือการรักษาอธิปไตยทางข้อมูล โดยข้อมูลทั้งหมดของคนไทยจะถูกจัดเก็บอยู่ภายในราชอาณาจักรไทยภายใต้กฎหมายไทย 100% ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลอ่อนไหวของประชาชนจะไม่ถูกเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากต่างชาติ
นอกจากระดับโครงสร้างพื้นฐานแล้ว GDCC ยังขยายขอบเขตไปสู่บริการระดับ Platform (PaaS) เช่น ระบบปฏิบัติการกลาง, ระบบฐานข้อมูล และระดับ Software (SaaS) ที่หน่วยงานต่างๆ สามารถหยิบไปใช้พัฒนา Application ต่อได้ทันที ช่วยลดระยะเวลาในการพัฒนาของบริการภาครัฐ

ทำไมรัฐบาลต้องผลักดันให้หน่วยงานต่างๆ ย้ายมาใช้คลาวด์กลาง? คำตอบไม่ได้มีแค่เรื่องเทคนิค แต่รวมถึงมิติของการบริหารจัดการงบประมาณและทรัพยากรบุคคล
การที่หน่วยงานรัฐนับร้อยแห่งแยกกันซื้อ Server เปรียบเสมือนการซื้อปลีกที่ย่อมมีราคาแพงและมีค่าบำรุงรักษา ที่ซ้ำซ้อน การรวมศูนย์จัดซื้อผ่าน GDCC ทำให้เกิดอำนาจต่อรองและการบริหารทรัพยากรแบบหารเฉลี่ย ซึ่งจากการประเมินพบว่า สามารถลดต้นทุนได้มากกว่า 30% คิดเป็นเม็ดเงินที่ประหยัดให้แผ่นดินได้ไม่ต่ำกว่า 5,000 - 6,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังเปลี่ยนรูปแบบงบประมาณจากรายจ่ายลงทุน (CapEx) มาเป็นรายจ่ายดำเนินงาน (OpEx) ตามการใช้งานจริง
ถ้าเราต่างคนต่างทำ ก็จะมีต้นทุนสูงและข้อผิดพลาดเยอะ เราเชื่อว่าการรวมซื้อและบริหารจัดการแบบรวม จะประหยัดงบประมาณได้มากกว่า 30% ถ้าคิดเป็นเงินก็ไม่ต่ำกว่า 5-6 พันล้านบาทไปแล้ว
ภาครัฐมักประสบปัญหา "สมองไหล" ขาดแคลนบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้าน System Admin หรือ Cloud Engineer การกระจายคนเก่งไปอยู่ตามกรมกองต่างๆ ทำให้ดูแลระบบได้ไม่เต็มที่ การมี GDCC ทำให้เกิด "Center of Excellence" หรือศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญมาช่วยกันดูแลระบบกลางเพียงจุดเดียว ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าและแก้ปัญหาคอขวดด้านบุคลากรได้อย่างตรงจุด
ภัยคุกคามไซเบอร์ในปัจจุบันมีความซับซ้อนและรุนแรง การที่หน่วยงานเล็กๆ ต้องดูแลความปลอดภัยเองเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่ง GDCC เข้ามาปิดจุดอ่อนนี้ด้วยการวางมาตรฐานความปลอดภัยระดับ Enterprise มีทีม Security Operations Center (SOC) เฝ้าระวังภัยคุกคาม 24 ชั่วโมง และปฏิบัติตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) อย่างเคร่งครัด การรวมศูนย์ทำให้เมื่อมีการอัปเดต Patch ความปลอดภัย หรือติดตั้ง Firewall ใหม่ ทุกหน่วยงานภายใต้ GDCC จะได้รับความคุ้มครองทันที และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) การมีศูนย์กลางที่บริหารจัดการโดยมาตรฐานเดียว ช่วยลดความเสี่ยงข้อมูลรั่วไหลได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งคุณเวทางค์ยืนยันว่า ตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา GDCC ยังไม่เคยเกิดเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหลจากตัวระบบเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เมื่อโครงสร้างพื้นฐานแข็งแรง ก้าวต่อไปคือการทลายกำแพงข้อมูลด้วย GDCC Open Data
ประชาชน ที่เราเคยฝันกันไว้ว่า ยื่นข้อมูลที่เดียวแล้วไปแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ ระบบนี้เนี่ยก็คือพื้นฐานสำคัญที่จะสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลให้ประชาชน
แนวคิดนี้คือการเปลี่ยนข้อมูลที่เคยถูกเก็บในตู้เอกสาร หรือ Server ส่วนตัวของหน่วยงาน ให้กลายเป็นข้อมูลสาธารณะ (ในส่วนที่เปิดเผยได้) และข้อมูลที่เชื่อมโยงกันได้ ผ่าน API มาตรฐาน เมื่อข้อมูลไหลหากันได้ นวัตกรรมจึงเกิดขึ้น และนี่คือตัวอย่างจริงที่ GDCC เข้าไปเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ
ในอดีต การโทรแจ้ง 1669 อาจมีความล่าช้าในการระบุพิกัด หรือข้อมูลผู้ป่วยไม่ถูกส่งต่อไปยังโรงพยาบาลปลายทางอย่างครบถ้วน GDCC ได้เข้ามาเป็นฐานข้อมูลกลางให้กับ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ในการพัฒนาระบบ NDEMS (National Digital Emergency Medicine System) หรือ ระบบการแพทย์ฉุกเฉินดิจิทัล
ทันทีที่มีการโทรแจ้ง 1669 ระบบจะใช้เทคโนโลยี Geolocation ระบุพิกัดผู้โทรผ่านสัญญาณมือถือและ GPS ได้อย่างแม่นยำ ลดเวลาในการซักถามเส้นทาง และส่งรถพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดออกไปรับผู้ป่วยได้ทันที

แต่การดูแลสุขภาพไม่ได้จบลงเพียงแค่ห้องฉุกเฉิน GDCC ยังขยายบทบาทไปเป็นรากฐานให้กับ ระบบปรึกษาการแพทย์ทางไกล (DMS Telemedicine) ของกรมการแพทย์ ซึ่งเข้ามาช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาลและเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแพทย์เฉพาะทางสำหรับผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกล โดยแพทย์และผู้ป่วยสามารถสื่อสารกันผ่านระบบวิดีโอคอลเพื่อวินิจฉัยและติดตามอาการได้โดยไม่ต้องเดินทางมาที่โรงพยาบาล
ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างต่อเนื่องและไร้รอยต่อ GDCC ยังเป็นหัวใจสำคัญในการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลใน ระบบระเบียนสุขภาพส่วนบุคคลอิเล็กทรอนิกส์ (DMS PHR) ซึ่งเปรียบเสมือนสมุดพกสุขภาพดิจิทัลประจำตัวประชาชน ระบบนี้ช่วยให้ข้อมูลประวัติการรักษา การแพ้ยา หรือผลแล็บ ถูกเชื่อมโยงถึงกันระหว่างโรงพยาบาล ทำให้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินหรือต้องย้ายโรงพยาบาล แพทย์ปลายทางสามารถดึงข้อมูลประวัติคนไข้มาดูได้ทันทีผ่านระบบคลาวด์ที่มีความปลอดภัยสูงสุดตามมาตรฐานสากลและกฎหมาย PDPA ลดความเสี่ยงในการรักษาผิดพลาดและลดภาระของผู้ป่วยที่ต้องคอยถือแฟ้มประวัติกระดาษไปมา
อีกหนึ่งความสำเร็จคือการร่วมมือกับ สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อย
เดิมทีขั้นตอนการลงทะเบียนเกษตรกรเพื่อขอรับสิทธิช่วยเหลือหรือเงินอุดหนุน (เช่น เงินช่วยเหลือการตัดอ้อยสดลด PM 2.5) เป็นเรื่องยุ่งยาก เกษตรกรต้องเดินทางไปสำนักงานเขตหรือธนาคาร หอบเอกสารสำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านกองโต ไปยืนยันตัวตนและรอตรวจสอบสิทธิ์เป็นเวลานาน แต่ตอนนี้ ระบบเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ผ่าน GDCC ทำให้การยืนยันตัวตนทำได้ผ่านแอปฯ ‘ทางรัฐ’ ทันที ไม่ต้องถ่ายสำเนาบัตรประชาชน การตรวจสอบสิทธิ์เป็นไปอย่างโปร่งใส รวดเร็ว และเงินช่วยเหลือถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารโดยตรง ลดโอกาสการทุจริตและตกหล่น

ความพยายามในการผลักดันโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลนี้ ทำให้ GDCC และโครงการ Open Data ได้รับรางวัล “The Sauciest Infrastructure Enabler” จากเวที Techsauce Awards 2025 ซึ่งเป็นเครื่องการันตีว่า ภาครัฐไทยกำลังเดินมาถูกทางในการเป็นผู้สนับสนุนให้ภาคธุรกิจและประชาชนเติบโตได้ในยุคดิจิทัล
ที่ผ่านมาคือบทพิสูจน์แล้วว่า เราทำงานได้เรียกว่า คุ้มค่าเงินแผ่นดิน แล้วก็ให้ประโยชน์สุดท้ายลงไปที่ถึงประชาชนจริง สิ่งที่ประหยัด และประสิทธิภาพที่เกิดขึ้นเนี่ย ประเทศชาติได้ และสุดท้ายก็ประชาชนได้แน่นอน
อย่างไรก็ตาม คุณเวทางค์ทิ้งท้ายว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ความท้าทายต่อไปคือการดึงข้อมูลจากอีกหลายหน่วยงานที่ยังอยู่นอกระบบให้เข้ามาอยู่ในมาตรฐานเดียวกัน การสร้างความเข้าใจและเปลี่ยนชุดความคิดของคนทำงานภาครัฐยังคงเป็นเรื่องสำคัญ
GDCC จึงไม่ใช่แค่เรื่องของ Server หรือสายเคเบิล แต่คือ ยุทธศาสตร์ชาติที่จะเปลี่ยนคำว่า ‘รัฐบาลดิจิทัล’ ให้จับต้องได้ ลดความเหลื่อมล้ำ และทำให้ภาษีทุกบาทของประชาชนถูกใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด เพื่อให้คนไทยทุกคนเข้าถึงบริการของรัฐได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึงอย่างแท้จริง
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด