สถานการณ์ทางการเมืองของฮ่องกงที่ตึงเครียดอย่างไม่มีวี่แววว่าจะจบสิ้น ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม ทั้งกับธุรกิจเล็กและใหญ่ โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวที่หล่นฮวบในหลายเดือนที่ผ่านมา แน่นอนว่า Startup ที่ตั้งถิ่นฐานในฮ่องกงก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน แต่มันรุนแรงขนาดเท่าที่เราเห็นจากในภาพข่าวหรือไม่ และผู้ประกอบการที่นั่นมีวิธีรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร
Techsauce ได้ชวน James Kwan ผู้บริหาร Jumpstart สื่อด้าน startup ของฮ่องกง มาพูดคุยถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงผ่านมุมมองของคนในประเทศ และคาดการณ์อนาคตของ Startup Ecosystem ในฮ่องกงหลังจากนี้
ฟัง Podcast ฉบับเต็มได้ที่:
Spotify : https://spoti.fi/37JVmyg
Podbean : https://bit.ly/2OOY24V
SoundCloud : https://bit.ly/2KZ5HwD
การประท้วงบนถนนอย่างยาวนานและภาพความรุนแรงที่ปรากฎทางหน้าสื่อ ทำให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกไม่กล้าเดินทางไปฮ่องกง ยอดขายของในร้านค้าต่างๆ ลดลงกว่า 25% จากปีที่แล้ว ซึ่งภาคท่องเที่ยวของฮ่องกงถึงกับกล่าวว่าสถานการณ์ในประเทศขณะนี้วิกฤตกว่าช่วงโรคซาร์สระบาดเสียอีก โดยโรงแรมในเมืองส่วนใหญ่มีห้องว่างถึง 70%
James Kwan กล่าวว่า สถานการณ์และภาวะด้านการท่องเที่ยวที่แย่มากแบบนี้ส่งผลตรงกับธุรกิจโดยเฉพาะกับร้านเล็ก ๆ ซึ่งตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยว เช่น ย่าน Tsim Sha Tsui เป็นอย่างมาก
"ความรู้สึกของคนทำธุรกิจในฮ่องกงเปลี่ยนไปไปแล้ว มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณเห็นว่าธุรกิจบางอย่างได้รับผลกระทบ คุณก็จะเริ่มระวังมากขึ้นในการใช้เงินหรือลงทุนทำอะไรที่ไม่สำคัญมากในตอนนี้"
ในช่วง 11 ปีที่ James ทำงานและอยู่ในฮ่องกงมา เขายอมรับว่าไม่เคยเห็นสถานการณ์และระดับความเชื่อมันที่อยู่ในระดับต่ำขนาดนี้มาก่อน ซึ่งสิ่งที่แย่ที่สุดคือท่าทีที่ไม่มีวี่แววจะจบสิ้น และตัวเขาเองก็ไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าสถานการณ์นี้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ มันเป็นปัญหาหลักของภาคธุรกิจโดยรวม ล่าสุดมีบริษัทปิดกิจการไปแล้วกว่า 7,000 แห่ง
Startup ecosystem ในฮ่องกงมีลักษณะที่ยืดหยุ่นและแข็งแกร่งพอสมควร ซึ่งก็เหมือนกับที่อื่นๆ ในโลกที่ต้องปรับตัวตามสถานการณ์เพื่อให้อยู่รอด
แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุการณ์นี้ได้ส่งผลกระทบที่ค่อนข้างรุนแรงต่อ Startup ในฮ่องกงเช่นกัน อย่างเช่น งาน RISE ที่เป็น Tech Conference ประจำปีของฮ่องกงก็เพิ่งประกาศงดจัดงานในปี 2020 ซึ่งแน่นอนว่านั่นส่งผลต่อ startup ที่ลงทุนเตรียมพร้อมไปร่วมงานหรือเตรียมออกบูธไปแล้ว จึงทำให้ startup บางเจ้าต้องหาหนทางอื่นในการเข้าสู่ตลาดเอเชียแทน
จิตวิทยาของ startup ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน startup บางรายเริ่มมองหาทางหนีทีไล่ในตลาดต่างประเทศ "ผมไม่ได้บอกว่าทุกคนกำลังจะย้ายไปกันหมด แต่ startup บางรายน่าจะมีการเริ่มพูดคุยถึงเรื่องนี้แล้วอย่างแน่นอน"
James มองว่าความสามารถในการเอาตัวรอดของแต่ละ startup นั่นขึ้นอยู่กับทีมผู้ก่อตั้ง และจากที่ได้สัมผัสกับหลายๆ ทีมมา เขาคิดว่ามี startup ไม่น้อยที่กำลังมองหาโอกาสและทรัพยากรนอกฮ่องกง หรือแม้กระทั่ง การตั้งสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ที่อื่น
ตอนนี้ Startup ไม่สามารถหวังพึ่งนักลงทุนในฮ่องกงได้เท่าไหร่นัก เพราะทุกคนก็ระมัดระวังเรื่องการใช้เงินเป็นอย่างมาก พวก Angel ก็อาจจะหยุดการลงทุนในช่วงนี้ไปเลย ดังนั้น startup จึงต้องมองหาแหล่งเงินทุนอื่น อาจจะเป็นประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สหรัฐอเมริกา หรือยุโรป
"ทางออกที่เซฟที่สุดอาจจะเป็นประเทศสิงคโปร์"
James กล่าวว่า ปกติแล้วรัฐบาลจะให้ความช่วยเหลือธุรกิจอยู่เสมอ แต่จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจนอะไรออกมาว่าจะช่วยเหลือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง
กลายเป็นว่าภาคเอกชนกลับมีส่วนร่วมและขยับตัวเพื่อยื่นมือมาช่วยเหลือเร็วกว่ามาก บริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ New World Development ได้บริจาคที่ดินของบริษัทกว่า 20% เพื่อสร้างเป็นบ้านในราคาที่จับต้องได้สำหรับรองรับในอนาคต ส่วน Henderson ก็ได้บริจาคเงินจำนวนหนึ่งให้แก่ธุรกิจ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากการประท้วง ซึ่งถือเป็นเรื่องค่อนข้างน่าเซอร์ไพรซ์สำหรับ James เขามองว่าปกติแล้วพวกบริษัทเหล่านี้ มักให้ความสำคัญแต่กับเรื่องการทำกำไรอยู่เสมอ แต่ในสถานการณ์นี้มันต่างออกไป
อย่างไรก็ตาม มันต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าที่ความช่วยเหลือจะลงไปถึงทุกภาคส่วนได้ ซึ่งทั้งภาคเอกชนและภาครัฐต่างทราบดีถึงตัวเลข GDP ที่กำลังลดลงและกำลังเร่งหาทางทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้ไข
สำหรับหลายคนที่จะเดินทางไปฮ่องกง สามารถใช้แอปที่เรียกว่า Telegram เพื่อติดตามสถานการณ์การประท้วงในแต่ละพื้นที่ เป็นแอปที่ผู้ประท้วงและคนฮ่องกงใช้อยู่ประจำ โดยการเข้ารหัสข้อความที่ส่งระหว่าง User และซ่อนเบอร์โทรศัพท์ รวมถึงข้อมูลต่างๆ ของผู้ใช้เพื่อป้องกันการตรวจสอบจากรัฐบาล ซึ่งส่วนใหญ่แล้วผู้ประท้วงจะประกาศสถานที่ในการรวมตัวครั้งต่อไปผ่านทางแอปนี้
James ย้ำว่านักท่องเที่ยวไม่มีอะไรต้องกังวล เพราะภาพที่ออกไปทางสื่อคือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแค่บริเวณหนึ่งในฮ่องกงเท่านั้น
"ทุกอย่างยังดำเนินไปอย่างปกติในอีก 90% ของพื้นที่"
รัฐบาลมีการประกาศอยู่เรื่อยๆ ว่ามีการประท้วงเกิดขึ้นที่บริเวณไหนบ้าง และในฝั่งของผู้ประท้วงเองก็มีความพยายามอธิบายสถานการณ์ให้กับนักท่องเที่ยวเข้าใจ โดยไม่มีการทำอันตรายใดใดที่กระทบกับนักท่องเที่ยว
ซึ่งหากมองอีกด้าน James กล่าวว่านี้คือโอกาสที่ดีสำหรับนักท่องเที่ยวในการซื้อของราคาพิเศษ อย่างเช่น โรงแรมต่างๆ ที่ลดราคาลงและให้สิทธิพิเศษเพิ่มเติมมากมายเพื่อดึงดูดให้คนไปพัก
James ปิดท้ายด้วยอารมณ์ขันว่า "นี้คือช่วงเวลาที่สำคัญมากของประวัติศาสตร์ฮ่องกง หากมองในแง่ดีนี่คือโอกาสได้เห็นฮ่องกงราคาถูกลงบ้าง"
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด