หลายปีก่อนหน้านี้ เมื่อเราพูดถึง ‘หุ่นยนต์’ ภาพในหัวมักจะหนีไม่พ้นฉากในหนังแอ็คชั่นที่หุ่นเหล็กขนาดมหึมาลุกขึ้นมาทำลายบ้านเมือง แต่สำหรับปี 2025 บริบทของโลกหุ่นยนต์ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นี่คือปีที่ถูกนิยามว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญจาก AI
ตอนนี้หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ไม่ได้ทดลองอยู่แค่ในห้องแล็บอีกต่อไป แต่กำลังเริ่มลงมือทำงานจริงอยู่ในโรงงาน BMW, คลังสินค้า Amazon และที่สำคัญพวกมันกำลังจะเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นของคุณ
ในบทความนี้ Techsauce จึงอยากชวนทุกคนมาส่องเทรนด์ Humanoid ปี 2025 เมื่อหุ่นยนต์เริ่มน่ารัก ทำงานบ้านได้จริง และสัญญาณเตือนฟองสบู่จากจีน

แรงสั่นสะเทือนระลอกแรกที่ทำให้ตลาดต้องตื่นตัวมาจากฝั่งจีน เมื่อ Unitree Robotics ตัดสินใจเปิดตลาดหุ่นยนต์ด้วยกลยุทธ์ ‘ราคาที่ทุกคนเอื้อมถึง’ การมาของ Unitree G1 หรือ Humanoid Agent ได้ทลายกำแพงความเชื่อเดิมที่ว่าหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ต้องมีราคาหลักล้าน ด้วยค่าตัวเริ่มต้นเพียง 16,000 ดอลลาร์ (หรือราว 5-6 แสนบาท)
ทำให้ G1 กลายเป็นไอเทมที่เข้าถึงได้ง่าย และแม้ตัวจะเล็กกะทัดรัดด้วยความสูง 1.27 เมตร แต่ความสามารถไม่ได้เล็กตาม ด้วยข้อต่อที่ยืดหยุ่น 23-43 จุด ทว่าสิ่งที่ทำให้ Unitree กลายเป็นหนึ่งในตัวเต็งของปีนี้คือโมเดลธุรกิจแบบ App Store สำหรับหุ่นยนต์ ที่เปิดให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดทักษะใหม่ๆ ใส่หุ่นยนต์ได้ผ่านสมาร์ทโฟน ไม่ว่าจะเป็นท่าเต้น ท่ากังฟู หรือทักษะงานบ้าน ทำให้ปัจจุบันมียอดขายทะลุ 1,000 ตัว ไปแล้ว

ฝั่งสหรัฐอเมริกาอย่าง Figure AI กลับมุ่งเน้นไปที่การสร้างสมองที่เหนือชั้น เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2025 ที่ผ่านมา พวกเขาได้เปิดตัว Figure 03 ที่มาพร้อมกับระบบสมองกลอัจฉริยะตัวใหม่ที่เรียกว่า Helix ซึ่งฉีกกฎการเขียนโปรแกรมหุ่นยนต์แบบเดิมๆ ทิ้งไป
เพราะ Helix คือ Vision-Language-Action Model ที่อนุญาตให้มนุษย์สั่งงานด้วยภาษาพูดปกติ เช่น ช่วยชงกาแฟให้หน่อย หรือเก็บขยะบนโต๊ะไปทิ้ง หุ่นยนต์ก็จะเข้าใจบริบทและลงมือทำทันทีโดยไม่ต้องเขียนโค้ด

ทางด้าน Elon Musk และ Tesla ก็ไม่ยอมน้อยหน้า ในช่วงเดือนธันวาคม 2025 Optimus Gen 3 ได้ถูกเผยโฉมพร้อมกับวิสัยทัศน์ที่ต้องการให้หุ่นยนต์เป็น ‘พ่อบ้าน’ ที่สมบูรณ์แบบ ด้วยการติดตั้งกล้องถึง 8 ตัวรอบทิศทาง ทำให้ Optimus สามารถมองเห็นได้ 360 องศาแบบเรียลไทม์ ผสานกับชิป AI-5 รุ่นใหม่
แต่นวัตกรรมที่น่าสนใจที่สุดคือ ความสามารถในการอ่านใจผ่านภาษาท่าทางที่เรียกว่า ‘Silent Communication’ ซึ่งระบบจะคาดเดาเจตนาของมนุษย์ได้เพียงแค่มองการเคลื่อนไหว เราจึงได้เห็นวิดีโอเดโมที่ Optimus สามารถพับผ้าและหยิบจับของใช้ในบ้านได้อย่างนุ่มนวลมากขึ้น

ตำนานอย่าง Boston Dynamics ตัดสินใจปลดระวาง Atlas รุ่นไฮดรอลิก เพื่อเข้าสู่ยุคของ All-Electric Atlas เต็มรูปแบบ หุ่นยนต์รุ่นใหม่ ‘GR-2’ มาพร้อมมือจับ ‘GR2 Hands’ ที่มีความละเอียดอ่อนสูงจากเซนเซอร์สัมผัส
ในขณะเดียวกัน Fourier จากจีน (เดิมคือ Fourier Intelligence) ก็ได้นำประสบการณ์ด้านการแพทย์มาพัฒนา GR-2 หุ่นยนต์ที่เน้นพลังด้วยมอเตอร์แรงบิดสูง พร้อมระบบแบตเตอรี่ถอดเปลี่ยนได้ ทำให้สามารถทำงานหนักในโรงงานได้ต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง

หากพูดถึงดาวรุ่งในช่วงท้ายปี คงหนีไม่พ้น EngineAI สตาร์ทอัพจากเซินเจิ้นที่ก่อตั้งได้เพียง 2 ปี แต่กลับสร้างความฮือฮาด้วยการตั้งชื่อหุ่นยนต์รุ่นใหม่ว่า 'T800' ซึ่งชวนให้นึกถึงจักรกลสังหารจากภาพยนตร์ Terminator แต่ T800 ตัวนี้ไม่ได้มีไว้ทำลายโลก มันถูกออกแบบมาเพื่อ "ปฏิวัติอุตสาหกรรม" ด้วยเงินระดมทุนมหาศาลกว่า 1 พันล้านหยวน (ราว 142 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ความไวรัลเริ่มต้นขึ้นเมื่อ EngineAI ปล่อยคลิปเดโมที่ T800 โชว์ทักษะ "กระโดดเตะกังฟู" ได้อย่างคล่องแคล่ว จนชาวเน็ตกล่าวหาว่าเป็นภาพ CGI ร้อนถึงซีอีโออย่าง Zhao Tongyang ต้องอัดคลิปให้ T800 เตะตัวเขาเองกระเด็นกลางห้องเพื่อพิสูจน์ความจริง
สเปกของ T800 ไม่ธรรมดา ด้วยความสูง 1.73 เมตร หนัก 75 กิโลกรัม โครงสร้างทำจากโลหะผสมแมกนีเซียม-อะลูมิเนียมเกรดอากาศยาน มีข้อต่ออิสระ (DoF) รวม 43 จุด และแรงบิดมหาศาล 450-Nm ขับเคลื่อนด้วยมันสมองระดับ 275 TOPS จากชิป Intel N97 ผสาน NVIDIA AGX Orin และใช้ Solid-state Battery แบบถอดเปลี่ยนได้ที่ใช้งานหนักได้ต่อเนื่อง 4 ชั่วโมง แม้จะโชว์ลีลากังฟู แต่เป้าหมายจริงของ T800 คือการผลิตจำนวนมากเพื่อป้อนเข้าสู่สายงานอุตสาหกรรม
เทรนด์ที่มาแรงที่สุดในปี 2025 ไม่ใช่แค่เรื่องความแข็งแกร่ง แต่คือ ความน่ารัก และความปลอดภัย เพื่อให้มนุษย์ยอมรับหุ่นยนต์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว นี่คือดาวรุ่งที่คุณต้องจับตามอง

แม้จะไม่ได้วางขายให้คนทั่วไปซื้อ แต่โปรเจกต์ BDX Droids ของ Disney ที่เริ่มเดินโชว์ตัวในสวนสนุก Walt Disney World และ Disneyland Paris ในปี 2025 ได้กลายเป็นต้นแบบที่สะเทือนวงการ ด้วยการใช้เทคโนโลยี Reinforcement Learning ทำให้หุ่นตัวจิ๋วเหล่านี้มีอารมณ์ พวกมันสามารถเดินเตาะแตะเหมือนลูกเป็ด แสดงท่าทางดีใจ หรือโกรธเมื่อถูกแกล้ง ทำให้สตาร์ทอัพทั่วโลกตระหนักว่า หุ่นยนต์ที่จะอยู่กับมนุษย์ได้ต้องมีหัวใจ ไม่ใช่แค่เครื่องจักร

สตาร์ทอัพจากฝรั่งเศสรายนี้ตอบโจทย์ความน่ารักในระดับ Commercial ด้วย Mirokaï หุ่นยนต์หน้าตาสไตล์อนิเมะญี่ปุ่นที่มีสีหน้าแสดงอารมณ์ได้หลากหลาย ปี 2025 พวกเขาได้เริ่มส่งมอบ Mirokaï เข้าสู่โรงพยาบาลและงานบริการต้อนรับในราคาประมาณ 40,000 ดอลลาร์ ด้วยดีไซน์ที่เป็นมิตรและขยับไปมาบนลูกบอล ทำให้มันดูเหมือนลอยได้และไม่น่ากลัวสำหรับเด็กๆ

ถ้า iPhone คือโทรศัพท์สำหรับทุกคน NEO จาก 1X ก็คือหุ่นยนต์สำหรับทุกบ้าน สตาร์ทอัพที่ OpenAI หนุนหลังรายนี้ฉีกตำราวิศวกรรมด้วยการสร้างหุ่นยนต์ที่มีกล้ามเนื้อนุ่ม (Soft Robotics) และสวมใส่เสื้อผ้าได้ ทำให้ปลอดภัยต่อการสัมผัส ในปี 2025 1X ได้เปิดพรีออเดอร์ในราคา 20,000 ดอลลาร์ (หรือเช่าเดือนละ 499 ดอลลาร์) และเริ่มส่งรุ่น Beta เข้าไปทดลองเลี้ยงเด็กและทำงานบ้านจริงในครัวเรือนกลุ่มแรกแล้ว จุดเด่นคือระบบ ‘Human-in-the-loop’ ที่หากหุ่นยนต์เจอเรื่องยากๆ มนุษย์สามารถเข้าควบคุมระยะไกลเพื่อแก้ปัญหาได้ทันที

อีกหนึ่งดาวรุ่งที่เปิดตัวเวอร์ชันขายจริงในปีนี้คือ MenteeBot หุ่นยนต์ที่ชูจุดเด่นเรื่อง AI-First สามารถเรียนรู้ทักษะงานบ้านใหม่ๆ ได้จากการสังเกตและคำสั่งเสียง ไม่ว่าจะเป็นการจัดโต๊ะอาหารหรือช่วยยกของ โดยออกแบบมาให้ใช้งานได้ทั้งในโกดังและห้องครัว
ทั้งนี้ ท่ามกลางกระแสความตื่นตัวที่มีมูลค่าตลาดพุ่งสูงถึง 5.6 พันล้านดอลลาร์ และมีบริษัทเกิดใหม่มากกว่า 150 แห่ง รัฐบาลจีนได้ออกมาส่งสัญญาณเตือนครั้งสำคัญ โดย คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ (NDRC) ของจีนได้ออกมาเตือนถึงความเสี่ยงของการเกิดฟองสบู่ในอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์
ทางการจีนระบุชัดเจนว่า ขณะนี้มีบริษัทจำนวนมากที่แห่กันผลิตหุ่นยนต์ที่มีลักษณะคล้ายกันออกมาล้นตลาด โดยมุ่งเน้นไปที่การทำ ‘หุ่นยนต์เพื่อความบันเทิง’ หรือหุ่นยนต์ที่โชว์แต่ทักษะฉาบฉวย เช่น การเต้น หรือการแสดงท่าทางผาดโผนเพื่อเรียกกระแสโซเชียลมีเดีย แต่กลับขาดความสามารถในการทำงานจริงเชิงเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลจีนมองว่านี่คือการลงทุนที่สูญเปล่าและซ้ำรอยประวัติศาสตร์ Bike Sharing ในอดีต
นโยบายใหม่ของจีนในปี 2025 จึงเป็นการสั่งปรับทิศทางครั้งใหญ่ โดยเน้นย้ำให้ผู้พัฒนาหุ่นยนต์หันกลับมาโฟกัสที่การใช้งานในอุตสาหกรรม และ งานบริการที่ทำได้จริง เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานและรองรับสังคมผู้สูงอายุ แทนที่จะสร้างของเล่นราคาแพง
ปี 2025 จึงไม่ใช่แค่ปีที่หุ่นยนต์เริ่มทำงานได้จริง แต่เป็นปีแห่งการคัดกรองครั้งใหญ่ บริษัทที่สร้างได้แค่ความว้าวแต่ไร้ประโยชน์จริงอาจต้องล้มหายตายจากไป ในขณะที่ผู้ที่สร้างหุ่นยนต์ที่ทำงานหนักได้เหมือนกรรมกร หรือ อ่อนโยนได้เหมือนพี่เลี้ยงเด็ก จะกลายเป็นผู้กำหนดอนาคตของโลกใบนี้อย่างแท้จริง
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด