Impact Innovation สตาร์ตอัพยุคต่อไป สร้างตลาดใหม่โดยแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยคุณกระทิง เรืองโรจน์ พูลผล | Techsauce

Impact Innovation สตาร์ตอัพยุคต่อไป สร้างตลาดใหม่โดยแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยคุณกระทิง เรืองโรจน์ พูลผล

เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยกับงาน “Inclusive Growth Days Empowered by OR” ที่จัดขึ้น ณ Bangkok Convention Centre ชั้น 22 Centara Grand Hotel at CentralWorld ระหว่างวันที่ 22-24 กรกฎาคม 2565 วันนี้ Techsauce นำส่วนหนึ่งจาก Speaker ที่มาแชร์เรื่อง Impact Innovation ประสบการณ์และเคล็ดลับในการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกับเหล่าสตาร์ทอัพและนักลงทุนมาสรุปให้ชมกัน

Impact Innovation สตาร์ตอัพยุคต่อไป สร้างตลาดใหม่โดยแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยคุณกระทิง เรืองโรจน์ พูลผล

ในช่วงที่ผ่านทั้งก่อนและหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 จะเห็นว่าเทคโนโลยีและนวัตกรรมมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงต่อทิศทางหรือมุมมองในการทำธุรกิจ ตัวอย่างเช่น ทิศทางของสตาร์ตอัพในอนาคต ความคาดหวังในตลาดไทยและต่างประเทศ ความท้าทายของสตาร์ตอัพในการนําพาให้ตัวเองเติบโตในขณะเดียวกันที่ต้องสร้างตลาดใหม่โดยต้องคำนึงเรื่องการแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม สำหรับ Session นี้คุณกระทิง พูนผล  ผู้ก่อตั้งกองทุน 500 TukTuks และผู้บริหารกองทุน ORZON Ventures ซึ่งได้มาแชร์ความรู้ในหัวข้อ “Impact Innovation สตาร์ตอัพยุคต่อไป สร้างตลาดใหม่โดยแก้ปัญหาสังคม และสิ่งแวดล้อม”

Impact Innovation คือการสร้างนวัตกรรมที่ไม่ได้มุ่งหวังเพียงสร้างกำไรแต่ยังมีผลต่อสังคมและต่อโลกของเรา

คุณกระทิงกล่าวว่า “แม้ว่าเราจะดูเหมือนอยู่ในช่วงเวลาที่เผชิญวิกฤตสักแค่ไหน แต่ในตอนนี้ถือว่า เราอยู่ในช่วงที่ดีที่สุดในเวลาที่ดีที่สุด” เนื่องจากตอนนี้  Southeast Asia  ของเรากำลังเข้าสู่ยุคทอง จากการคาดการณ์ของ Asia Partner กองทุน VC ขนาดใหญ่ของเอเชีย ได้ทำนายไว้ว่าในอีก 6 ปีข้างหน้าภูมิภาคนี้จะมีสตาร์ทอัพยูนิคอร์นที่เพิ่มขึ้นอีกกว่า 20 ราย เนื่องจากว่าบริบทของการพัฒนาในภูมิภาคอาเซียนตอนนี้มีรูปแบบการเติบโตที่คล้ายกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจของจีนในช่วงยุคเริ่มแรกของการเติบโต ซึ่งจะทำให้ต่อจากนี้ในทุก ๆ ปีจะมีสตาร์ทอัพที่เป็นยูนิคอร์นตัวใหม่เกิดขึ้นได้ในทุก ๆ ไตรมาส

ยุคทองของอาเซียน South East Asia is entering the Golden Age !

ตอนนี้กองทุน Venture Capital อันดับหนึ่งของโลกที่เคยลงทุนใน Alphabet (Google) หรือ Apple ต่างเห็นศักยภาพในภูมิภาค SEA และเปิดกองทุนขนาด 850 ล้านเหรียญเพื่อลงทุนในภูมิภาคนี้ โดยคุณกระทิงกล่าวว่า ไม่ใช่แค่การลงทุนแบบธรรมดา เพราะว่าในภูมิภาคนี้มี “Unique Opportunity” สำหรับธุรกิจที่ไม่ได้เติบโตเพื่อหวังกำไรแบบเดิม แต่เป็นโอกาสของยูนิคอร์นที่สร้างอิมแพคให้กับสังคมและต่อโลกอีกด้วย  

ตอนนี้กว่า 77% ของเยาวชนในเอเชียต่างให้ความสนใจและต้องการเป็นส่วนหนึ่งต่อเรื่องของระบบเศรษฐกิจสีเขียวมากขึ้น (เมื่อเทียบกับประมาณ 50% ในโซนยุโรปและอเมริกา) นอกจากนี้ยังมีโอกาสจากปัจัยด้านการเป็นพลเมืองดิจิทัล ซึ่ง 75% ของประชากรใน SEA สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยโลกที่ประมาณ 60% ในขณะที่เงินทุนที่ลงทุนทางด้านการสร้างอิมแพคต่อสังคมเติบโตขึ้น 26% ท่ามกลางช่วงโควิด สิ่งนี้สะท้อนถึงโอกาสของการสร้าง Impact Innovation

ตอนนี้สตาร์ทอัพไม่เพียงต้อง Repeatable-Scalable-Growth Profitable แต่ต้อง Responsible และ Sustainable ด้วย ซึ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่กองทุนระดับโลกต่างก็มองหาจากสตาร์ทอัพหน้าใหม่ เป็นผลทำให้ตอนนี้หลากหลายธุรกิจหน้าใหม่เข้ามามีบทบาทด้านการสร้างความยั่งยืนมากขึ้น เช่น ธุรกิจ EV , Plant-based Food ,Sustainable Energy ,Smart and Green Supply chain , Social Innovation ธุรกิจต้องขยับขึ้นมาจากการทำธุรกิจแบบดั้งเดิมที่มุ่งหวังสร้างกำไรสูงสุดไปสู่รูปแบบที่สามารถทำให้เกิดผลกระทบกับสังคมได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องสร้างผลกำไรให้กับตัวเองได้อย่างยั่งยืน รวมถึงต่อ Stakeholders หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่างคาดหวังให้ธุรกิจเข้ามามีส่วนรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้นและมองว่าธุรกิจเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่จะรักษาโลกได้

ยูนิคอร์นสายพันธ์ุใหม่ ต้องมีหัวใจของความยั่งยืน

สตาร์ทอัพรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาในตลาดจะต้องมีการขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมและสร้างอิมแพคให้กับสังคม ในขณะเดียวกันตอนนี้ Talent กว่า 80% ไม่ได้มองขนาดของธุรกิจว่าต้องใหญ่เติบโตได้ แต่ยังต้องตอบคำถามให้ได้ว่าธุรกิจนี้สร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรให้กับโลกได้บ้าง คนรุ่นใหม่อยากเป็นส่วนหนึ่งในของการเปลี่ยนแปลงโลกให้ดียิ่งขึ้น

เรื่องต่อมาก็คือ Capital Efficient นักลงทุนไม่เพียงมองหาสตาร์ทอัพที่มีการระดมทุนสูง ๆ มากแต่ต้องใช้เงินทุนนั้นอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเรื่องของความหลงใหลในความต้องการของลูกค้า (Customer-Obsessed) และเทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทกับธุรกิจ

What’s next for Thailand and SEA?

ในภาพรวมของภูมิภาค SEA  มี 3 เทรนด์ใหญ่ที่ได้รับความสนใจและมีการระดมทุนจำนวนมาก คุณกระทิงกล่าวว่า ภายในปี 2021 กว่า 28 จาก 47 สตาร์ทอัพยูนิคอร์นเป็นสตาร์ทอัพด้าน Climate Tech Global ที่เกิดขึ้นภายในปีเดียว นอกจากนี้ในภูมิภาค SEA  จะมีมูลค่าการลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมกว่า 2 ล้านล้านเหรียญในอีก 10 ปีข้างหน้า 

เทรนด์ต่อมาคือเรื่องของการพัฒนามนุษย์และการศึกษา ซึ่งในปัจจุบัน VC ลงทุนในภูมิภาคนี้มูลค่ากว่า 480 ล้านเหรียญภายในปี 2015-2020 ซึ่งมีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าภายในปีเดียว เทรนด์สุดท้ายคือเรื่องของ Wellness & Healthcare เพราการเข้าสู่สังคมสูงวัยของทั่วโลก จุดนี้จะเป็นโอกาสของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของภูมิภาคได้

ประเทศไทยมีโอกาสอีกมาก เราต้องต้องผนึกพลังกันเพื่อสร้างอิมแพค เวลานี้ถือเป็นโอกาส สิ่งที่เราต้องการสร้างคือเรื่องของการสร้าง Ecosystem และเรื่องของ Movement ที่จะสนับสนุนให้กับสตาร์ทอัพที่ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมและกับโลกอย่างยั่งยืน

 



ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ส่องกฎหมายและนโยบายที่ดึง Silicon Valley มาลงทุนในอินโดนีเซีย

บทความนี้ Techsauce จะพาไปเจาะลึกกับ 5 ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้อินโดนีเซียได้รับความสนใจจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในช่วงเวลานี้...

Responsive image

Fortune จัดอันดับ 100 สตรีผู้ทรงอิทธิพลแห่งเอเชีย ไทยติดอันดับ 14 คน มากสุดเป็นอันดับ 2!

นิตยสารฟอร์จูน (Fortune) ได้ประกาศรายชื่อ "100 สตรีผู้ทรงอิทธิพลแห่งเอเชีย" ประจำปี 2024 การจัดอันดับนี้มุ่งเน้นยกย่อง "สตรีผู้สร้างนิยามใหม่แห่งความเป็นผู้นำ" ไม่ว่าจะเป็นการปฏิวั...

Responsive image

ปฏิวัติการบริหารธุรกิจด้วย SAP on Cloud: ง่ายกว่า คุ้มค่ากว่า ปลอดภัยกว่า

แนะการใช้ SAP on Cloud อย่างชาญฉลาด โดย True IDC พาไปรู้จัก 'Huawei Cloud' ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานที่มี Data Center 3 โซนในไทย ที่พร้อมรองรับการทำงานของ SAP เป็นอย่างดี และ Pe...