ในการประชุม World Economic Forum ที่ดาวอสปีนี้ อินเดียได้ก้าวขึ้นมาเป็นจุดสนใจของเวทีโลกในฐานะดาวรุ่งทางเศรษฐกิจดวงใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้วิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรี Narendra Modi ที่มุ่งมั่นผลักดันให้อินเดียเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2047
การเสวนาในหัวข้อ “พิมพ์เขียวเศรษฐกิจอินเดีย” ได้รวบรวมผู้นำทางความคิดและผู้ทรงอิทธิพลในแวดวงเศรษฐกิจทั้งในระดับประเทศและระดับโลก
นำโดย Ashwini Vaishnaw รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมวลชนของอินเดีย, Sultan Ahmed bin Sulayem ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ DP World องค์กรโลจิสติกส์ชั้นนำระดับโลก, Sanjiv Bajaj ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการของ Bajaj Finserv กลุ่มบริษัททางการเงินยักษ์ใหญ่ของอินเดีย และ Shobana Kamineni ประธานบริหารของ Apollo Health Co Limited เครือโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ที่สุดของอินเดีย มาร่วมแบ่งปันมุมมองและวิเคราะห์เส้นทางสู่ความสำเร็จทางเศรษฐกิจของอินเดีย
เริ่มต้นด้วยรัฐมนตรี Ashwini Vaishnaw ได้เผยถึง "กลยุทธ์ 4 เสาหลัก" ที่รัฐบาลอินเดียใช้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปข้างหน้า ด้วยเป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืนและลดความเหลื่อมล้ำ โดยแต่ละเสาหลักมีความสำคัญ ดังนี้
รัฐบาลอินเดียให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างจริงจัง โดยทุ่มเม็ดเงินลงทุนมจำนวนมหาศาลใน 3 มิติหลัก ได้แก่
อินเดียมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ด้วยการสนับสนุนสตาร์ทอัพ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนกว่า 130,000 ราย และมีบริษัทยูนิคอร์น กว่า 120 ราย รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตในหลากหลายสาขา เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์เฉพาะทาง และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
รัฐบาลอินเดียตระหนักถึงความสำคัญของการลดความเหลื่อมล้ำ และมุ่งเน้นให้ประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย มีส่วนร่วมในการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยมีตัวชี้วัดความสำเร็จ เช่น การเพิ่มจำนวนบัญชีธนาคารให้กับผู้ที่ไม่เคยเข้าถึงระบบการเงินมาก่อนกว่า 510 ล้านบัญชี การขยายโครงข่ายน้ำประปาให้ครอบคลุม 130 ล้านครัวเรือน และการให้บริการก๊าซหุงต้มแก่ประชาชนกว่า 110 ล้านคน
เพื่อสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนและการทำธุรกิจ รัฐบาลได้ดำเนินการยกเลิกกฎหมายที่ล้าสมัยกว่า 1,500 ฉบับ และปรับปรุงกฎหมายใหม่ให้ทันสมัย เช่น การปรับปรุงกฎหมายโทรคมนาคม จากกฎหมายเดิมที่ใช้มาตั้งแต่ปี 1885 เป็นกฎหมายฉบับใหม่ในปี 2023 เพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพและความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ
Sultan Ahmed bin Sulayem ประธานและซีอีโอของ DP World มองว่าอินเดียคือหนึ่งในตลาดสำคัญที่สุด ด้วยทำเลที่ได้เปรียบและประชากรจำนวนมาก เขาชี้ว่า แม้จะมีศักยภาพมหาศาล แต่การค้าตู้คอนเทนเนอร์ของอินเดียยังอยู่ที่ 15 ล้านตู้ เมื่อเทียบกับ 100 ล้านตู้ของจีน ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสการเติบโตในภาคการส่งออก
เพื่อปิดช่องว่างนี้ DP World ไลงทุนในท่าเรือและเขตอุตสาหกรรม รวมถึงการสร้างเครือข่ายโลจิสติกส์เพื่อเชื่อมโยงอินเดียกับตลาดในแอฟริกา โดยมีจุดกระจายสินค้ากว่า 48 ประเทศ ซึ่งช่วยให้การส่งออกสินค้าจากอินเดียมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ โครงการ India-Middle East-Europe Economic Corridor ซึ่งจะเป็นเส้นทางการค้าสำคัญที่เชื่อมอินเดียเข้ากับตะวันออกกลางและยุโรป แม้ว่าโครงการนี้จะต้องเผชิญกับอุปสรรค เช่น ความไม่สงบในตะวันออกกลาง แต่ Sulayem มองว่า ศักยภาพระยะยาวของเส้นทางนี้เป็นสิ่งที่คุ้มค่าต่อการลงทุน
Sulayem ยังแนะนำให้อินเดียส่งเสริมการส่งออกมากขึ้น เพราะแม้ตลาดในประเทศจะใหญ่ แต่การพึ่งพาตลาดในประเทศเพียงอย่างเดียวอาจจำกัดการเติบโตในระยะยาว เขาเน้นว่าด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและการสนับสนุนจาก DP World อินเดียมีโอกาสก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจโลกในอนาคตอันใกล้
Sanjiv Bajaj ประธานและกรรมการผู้จัดการของ Bajaj Finserv หนึ่งในกลุ่มธุรกิจการเงินชั้นนำของอินเดีย มองว่า การตั้งเป้าหมายให้อินเดียเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2047 เป็นวิสัยทัศน์ที่สำคัญ และมีความเป็นไปได้ด้วยแรงสนับสนุนจากรัฐบาล เช่น นโยบาย Production Linked Incentives (PLI) ที่กระตุ้นการลงทุนในภาคการผลิต และการเติบโตของสตาร์ทอัพที่มีมากกว่า 130,000 ราย
อย่างไรก็ตาม Bajaj ชี้ว่าการเติบโตที่ระดับ 6-6.5% ยังไม่เพียงพอที่จะรองรับความต้องการของประชากร 1.5 พันล้านคน อินเดียต้องเพิ่มการเติบโตเป็น 7.5-8% ผ่านกลยุทธ์สำคัญ ได้แก่
Bajaj ยังมองว่า AI และเทคโนโลยี จะเป็นตัวเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยสามารถเพิ่มผลิตภาพได้ถึง 25% หากมีการพัฒนาทักษะแรงงานที่เหมาะสม ทั้งนี้ ภาคเอกชนพร้อมร่วมมือกับรัฐบาลในการผลักดันเศรษฐกิจ ด้วยการกระตุ้นการบริโภคในประเทศและขยายตลาดส่งออก
เขาทิ้งท้ายว่า อินเดียมีทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการเติบโต แต่ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการทำงานร่วมกันอย่างมุ่งมั่นระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับโลกในอนาคตอันใกล้
Shobana Kamineni ประธาน Apollo Health Co Limited กล่าวถึงความท้าทายสำคัญของอินเดียในอนาคต คือการเตรียมความพร้อมให้ประชากรวัยทำงานที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 1 พันล้านคนในปี 2030 โดยเธอมองว่านี่คือโอกาสทองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หากอินเดียสามารถพัฒนาทักษะและความรู้ของคนกลุ่มนี้ได้สำเร็จ แต่ในขณะเดียวกัน หากการพัฒนานี้ล่าช้า ก็อาจก่อให้เกิดปัญหาสังคมและความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงขึ้น
Shobana เล่าประสบการณ์จากการเข้าร่วมการประชุม CEO ระดับโลกในสหรัฐฯ ซึ่งเผยให้เห็นว่าองค์กรระดับโลกมองเห็นศักยภาพของอินเดียในฐานะศูนย์กลางด้านบุคลากรและการบริการ โดยหลายบริษัทในสหรัฐฯ พึ่งพาแรงงานชาวอินเดียในสัดส่วนที่สูง ด้วยเหตุผลจากต้นทุนที่ต่ำ ความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยี และจำนวนประชากรวัยทำงานที่มหาศาล
อย่างไรก็ตาม อินเดียยังต้องเร่งสร้างความก้าวหน้าในด้านการพัฒนาทักษะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของ AI ที่กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานทั่วโลก เธอเน้นย้ำว่าการพัฒนาทักษะของคนรุ่นใหม่ต้องเป็นความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา เพื่อให้ประชากรอินเดียสามารถแข่งขันได้ในตลาดแรงงานโลก
นอกจากนี้ Shobana ยังแนะนำให้รัฐบาลและภาคธุรกิจส่งเสริมการกระจายความเจริญไปสู่เมืองรอง และสร้างงานในอุตสาหกรรมที่ช่วยเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับคนในพื้นที่ชนบท การลดความเหลื่อมล้ำนี้จะช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจในวงกว้าง
สุดท้าย Shobana ฝากแนวคิดสำคัญว่า การสร้าง "คุณค่า" ในงานที่ทำ จะช่วยให้คนรู้สึกภาคภูมิใจและมีส่วนร่วมในสังคมอย่างแท้จริง เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการเพียงเงินช่วยเหลือ แต่ต้องการงานที่มีคุณค่าและตอบโจทย์ความต้องการในชีวิต การสร้างงานที่มีคุณค่าและมีความหมายจึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้อินเดียเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต
อ้างอิงจากการเสวนาในหัวข้อ India's Economic Blueprint จากการประชุม World Economic Forum 2025
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด