Startup ที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่าง GO-JEK เริ่มจากการเป็นแอปพลิเคชันเรียกรถมอเตอร์ไซค์ และขยายบริการจนครอบคลุมทุกอย่าง แม้กระทั่ง บริการจองบัตรคอนเสิร์ต บริการทำความสะอาด รวมไปถึง digital payment จึงทำให้ GO-JEK กลายเป็น Unicorn ที่ให้บริการในกว่า 50 เมืองทั่วอินโดนีเซีย และล่าสุด วางแผนขยายสู่ประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทยด้วย โดยที่ในไทยจะให้บริการด้วยแบรนด์ท้องถิ่น GET ขณะที่ในเวียดนามจะให้บริการโดย GO-VIET
Techsauce มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษกับ Andre Soelistyo ประธานกรรมการของ GO-JEK กับวิสัยทัศน์ของเขาต่อการบุกตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในครั้งนี้ และความเห็นต่อการแข่งขันบริการ Ride-hailing ในไทย พร้อมเผยกลยุทธ์ที่ GO-JEK จะนำมาพิชิตตลาด
GO-JEK เป็นแอปพลิเคชันเพื่อตอบโจทย์ชีวิตประจำวันของทุกคน เราเริ่มจากจุดเล็กๆ และตอนนี้เรามีบริการมากมายถึง 18 อย่างในประเทศอินโดนีเซีย ครอบคลุมทุกๆ ด้าน ตั้งแต่ บริการเรียกรถ บริการ payment ไปจนถึง บริการเสริมสวย เราจึงมีความท้าทายในเรื่องของการขยายและพัฒนาตัวแอปพลิเคชัน ให้สามารถรองรับความหลากหลายของบริการเหล่านี้ ซึ่งเราสามารถรับมือกับมันด้วยสุดยอดเทคโนโลยีที่เรามี และทีมที่มีศักยภาพ
ไม่สามารถบอกตัวเลขชัดๆ ได้ แต่เราบอกได้ว่า ตั้งแต่ปี 2015 ในประเทศอินโดนีเซีย มีผู้ดาวน์โหลดแอป GO-JEK แล้วกว่า 98 ล้านครั้ง
เราเลือกตลาดที่คิดว่า GO-JEK จะสามารถตอบโจทย์ได้มากที่สุด เราเห็นว่าผู้คนและธุรกิจต่างๆ ในเวียดนามและประเทศไทย เผชิญปัญหาการจราจรเช่นเดียวกับอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เราก่อตั้ง GO-JEK ขึ้นมาในทีแรก
ผู้บริโภคต่างมีความสุขเมื่อพวกเขามีทางเลือกเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในไทย เวียดนาม สิงคโปร์ หรือ ฟิลิปปินส์ คือ พวกเขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีทางเลือกมากพอ สำหรับบริการ ride-hailing เราจึงหวังว่าเมื่อเราเริ่มให้บริการในประเทศเหล่านี้ เราจะกลายเป็นแอปที่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดและตอบโจทย์ชีวิตประจำวันของทุกคน
การแข่งขันคือสิ่งจำเป็นสำหรับทุกๆ ตลาดที่จะเติบโต และเราก็อยากเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เกิดการเติบโตในทุกๆ ประเทศที่เราจะเข้าไปให้บริการ กลยุทธ์ของเราคือการผสมผสานระหว่างสุดยอดเทคโนโลยีที่เรามี เข้ากับข้อมูลเชิงลึกของตลาดแต่ละแห่งจากทีมท้องถิ่น เพื่อสร้างบริการที่เหมาะสมและเข้าใจผู้บริโภคมากที่สุด และสำหรับประเทศไทย เราจะโฟกัสไปที่การให้บริการที่ดีที่สุด
ตามที่บอกไปคือ แอปของเราจะต้องปรับให้เข้ากับตลาดของประเทศไทย เพื่อให้ตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของคนในพื้นที่ เราจะเริ่มจากการให้บริการ ride-hailing และบริการ delivery หลังจากนั้นค่อยมาดูว่าจะสามารถขยายการบริการแบบไหนเพิ่ม ตามความต้องการของตลาด
เราเห็นตรงกันกับผู้ร่วมก่อตั้ง GO-VIET และ GET ว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือ การสร้างแบรนด์ที่สะท้อนตัวตนของแอปที่เข้ากับประเทศนั้นๆ จริงๆ เราเชื่อว่าแบรนด์เหล่านี้จะเหมาะสมกับแต่ละตลาดมากกว่า
สิ่งสำคัญคือต้องทำความเข้าใจแต่ละตลาดอย่างลึกซึ้ง ต้องไม่มองเพียงความท้าทายและโอกาสที่จะได้รับเท่านั้น แต่ต้องมองให้ลึกไปถึงการใช้ชีวิตของผู้คนในประเทศนั้นด้วย
สำหรับ GO-JEK เราไม่เพียงมองหาทีมที่มีความรู้และประสบการณ์เพื่อทำธุรกิจให้สำเร็จเท่านั้น แต่เรายังต้องการทีมที่มีอุดมการณ์เดียวกันคือ มีความต้องการสร้างผลกระทบในแง่บวกต่อสังคมและทำให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือเป็นภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก จากการขยายตัวของเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งทำให้เกิดสังคมเศรษฐกิจแบบแบ่งปันที่ช่วยพัฒนาความเป็นอยู่ของคนทั่วไป อย่างเช่น คนขับรถ หรือ ผู้ประกอบการ SME ซึ่งคนเหล่านี้ถือเป็นส่วนหนึ่งใน ecosystem ของ GO-JEK ด้วย
เราคิดว่ามันมีพื้นที่สำหรับผู้เล่นรายใหม่และการพัฒนานวัตกรรมอยู่เสมอ และ GO-JEK ก็สนับสนุนการแข่งขันที่มีประสิทธิภาพ เมื่อปัจจุบัน ผู้บริโภคในประเทศไทย เวียดนาม สิงคโปร์ และ ฟิลิปปินส์ รู้สึกว่าพวกเขามีทางเลือกไม่มากพอ เราจึงหวังว่าการเข้ามาของเราจะช่วยให้การแข่งขันในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความเติบโตมากยิ่งขึ้น
GO-JEK เป็น Ride-hailing ที่มีบริการที่หลากหลายอย่างมาก โดยเฉพาะการใช้มอเตอร์ไซต์ให้บริการในด้านต่างๆ ซึ่งบางบริการคู่แข่งอย่าง Grab ยังไม่มี ความโดดเด่นในจุดนี้ทำให้ GO-JEK น่าถูกจับตามองว่า จะสามารถเข้ามาช่วงชิงผู้ใช้บริการจาก Grab ได้ ในที่สุดแล้วการที่ทั้งสองบริการมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ผู้ที่ได้ประโยชน์ที่สุดก็คือผู้ใช้บริการ เพราะจะมีตัวเลือกหลากหลายยิ่งขึ้น ไม่ผูกขาดกับรายใดรายหนึ่ง ในขณะที่ฟากของนักลงทุนที่สนับสนุนGO-JEK นั้นมีผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Tencent , JD.com ด้วย ซึ่งน่าจะเสริมกลยุทธ์การขนส่งในธุรกิจอีคอมเมิร์ซให้ครบวงจรมากขึ้นอีก
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด