เชื่อว่าคนไทยไม่ว่าจะเกิดใน Gen ไหน คงไม่มีใครไม่รู้จัก Jaymart กับภาพลักษณ์ที่เป็นผู้จำหน่ายโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์เสริมมือถือ รวมไปถึงสินค้า IoT ปัจจุบันมีมากกว่า 300 สาขาทั่วประเทศไทย รวมถึงช่องทางออนไลน์ แต่หลายคนคงไม่รู้ว่า Jaymart ในวันนี้เป็นกลุ่มบริษัท (Jaymart Group) ที่มีธุรกิจอีกมากมายที่อยู่รอบๆ ตัวเรา และเราไม่เคยรู้จักมาก่อน
แต่ก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะจากวันที่ก่อตั้งบริษัทในปี พ.ศ. 2531 เริ่มต้นด้วยธุรกิจจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบผ่อนชำระ ขยายธุรกิจเปลี่ยนมาจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ Jaymart เป็นหลัก โดย Jaymart ใช้เวลาสะสมกำลังถึง 21 ปี ก่อนจะเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2552 ในชื่อ JMART ซึ่งจากวันที่เข้าตลาดมาจนถึงวันนี้นั้น Jaymart Group ได้เติบโตอย่างรวดเร็ว ขยายไปกว่า 20 บริษัท
ในบทความนี้ Techsauce จะพาไปรู้จักอาณาจักรของ Jaymart Group ที่เป็นมากกว่าร้านขายมือถือ รวมไปถึงธุรกิจที่จะเข้ามา Transform เครือ Jaymart ให้เปลี่ยนจากธุรกิจค้าขายแบบดั้งเดิมสู่ธุรกิจดิจิทัลที่คนทั้งโลกหันมาให้ความสนใจกันอย่างมาก
เพื่อฉายภาพให้เห็นธุรกิจของ Jaymart Group ที่ขยายไปกว่า 20 บริษัท สามารถแยกออกมาเป็น Categories มากถึง 7 สายธุรกิจ ดังนี้
1.ธุรกิจจำหน่ายมือถือ (Jaymart Mobile) ที่จำหน่ายมือถือ อุปกรณ์เสริมมือถือ คอมพิวเตอร์และ สินค้า IoT ทั้งหน้าร้านมากกว่า 300 สาขา และผ่านหน้าเว็บไซต์ออนไลน์ Jaymart Group ยังถือหุ้นใหญ่ในบริษัท Singer ประเทศไทย จำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ มือถือ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ อีกมากมาย มีบริษัท Jaydee ที่รวมดีลเลอร์ขายเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศ เข้ามาเสริม Ecosystem ของกลุ่ม Jaymart แบบ One-stop Service โดยกลุ่มบริษัทเหล่านี้ช่วยกันขายสินค้าร่วมกัน และให้บริการผ่อนชำระด้วยธุรกิจการเงินของกลุ่มบริษัท
2.ธุรกิจการเงิน เริ่มตั้งแต่ JMT Network Services ที่ทำธุรกิจติดตามหนี้และบริหารหนี้ด้อยคุณภาพอันดับต้นของประเทศ KB J Capital ซึ่ง Jaymart เป็นพาร์ทเนอร์กับสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้ KB Kookmin Card ทำธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้แบรนด์บัตรกดเงินสด Kashjoy Easy Card, สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ และสินเชื่อผ่อนมือถือ และ JK AMC ที่ได้ตั้งบริษัทร่วมทุนกับ KBank ตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ เพื่อบริหารหนี้ด้อยคุณภาพในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังมีบริษัท SG Capital ที่ให้บริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SINGER ที่กำลังเตรียมจะเข้าตลาดหหลักทรัพย์เร็วๆ นี้
3.ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มี JAS Asset บริหารพื้นที่เช่าร้านขายมือถือในศูนย์การค้าต่างๆ เช่น IT Junction, J Market และศูนย์การค้าแบบ Community Mall อีก 5 แห่งทั่วกรุงเทพฯ ภายใต้ชื่อ The Jas หรือ Jas Green Village นอกจากนี้ JAS Asset ขยายธุรกิจเข้าไปยังศูนย์สุขภาพ ตั้งแต่ Senera Senior Wellness สถานดูแลผู้สูงวัยในทุกระดับแบบ One-stop Service และ SENERA ViMUT HEALTH SERVICE เป็นศูนย์ฟื้นฟูและดูแลสุขภาพสำหรับครอบครัวและผู้สูงอายุ
4.ธุรกิจประกันภัย ภายใต้บริษัท Jaymart Insurance ซึ่งขายประกันภัยประเภทต่างๆ ทั้งรถยนต์ อุบัติเหตุ ประภันภัยส่วนบุคคล ซึ่งเค้ากำลังทำเรื่องของ InsurTech ด้วย
5.ร้านกาแฟและร้านอาหาร ภายใต้บริษัท Beans and Brown ซึ่งมีร้านกาแฟแบรนด์ Casa Lapin ปัจจุบันมีกว่า 24 สาขา
6.พลังงานทดแทน บริษัท JGS ร่วมทุนกับทางบริษัท Gunkul และ Singer ร่วมกันจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าและ Solar Rooftop Solution ผ่านเครือข่ายการจัดจำหน่าย ไปจนถึงพัฒนาการร่วมลงทุนติดตั้งระบบ Solar Rooftop เพื่อประหยัดค่าไฟฟ้า
7.พัฒนาเทคโนโลยี คือ J Ventures ที่ก่อตั้งในปี 2560 เรียกว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่น่าสนใจที่สุดตั้งแต่ก่อตั้ง Jaymart Group เลยก็ว่าได้ เพราะหน้าที่หลักของบริษัทนี้ไม่เพียงแต่นำเงินไปลงทุนธุรกิจเทคโนโลยี แต่ยังทำหน้าที่ Transform ธุรกิจดั้งเดิมทั้งหมดใน Jaymart Group และบริษัทนอกกลุ่ม ให้สามารถขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและแข่งขันได้ในอนาคต
เมื่อลงลึกในตัวธุรกิจของ J Ventures จะพบว่าแผนที่ถูกสร้างมานั้นเกิดจากวิสัยทัศน์ของ Jaymart Group ที่ต้องการผลักดันองค์กรไปสู่บริษัทเทคโนโลยี ให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจยุคดิจิทัล และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ โดยแบ่งธุรกิจออกเป็น 4 แกนหลัก คือ
1.Platform เป็นการพัฒนาแพลตฟอร์มในรูปแบบ Creative Commerce Platform โดยใช้ Ecosystem ของ J Ventures เข้ามาช่วยสร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจผ่านทั้ง 3 แพลตฟอร์ม คือ
2.Jaymart Group DX และ Business Co-Creation เป็นการทำ Digital Transformation ให้กับบริษัทใน Jaymart Group ที่ขยายไปมากกว่า 20 บริษัท รวมถึงการร่วมมือด้านธุรกิจใหม่ๆ กับพาร์ทเนอร์
3.Corporate DX เข้าไปช่วย Transform ให้กับพันธมิตรต่างๆ ทั้งด้านองค์กร ที่ผ่านมาได้ร่วมมือกับองค์กรเอกชนหลายบริษัท ด้านสถาบันการศึกษา มีความร่วมมือกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สำหรับการร่วมมือในระดับจังหวัด เป็นการเข้าไปทำ City Tokenization กับ ขอนแก่น เชียงใหม่ และชลบุรี
4.Ventures Builder เป็นการเข้าไปลงทุนใน Startup เทคโนโลยีที่มีศักยภาพและสามารถนำมาต่อยอดธุรกิจในเครือได้ เช่น KULAP ที่เป็น Decentralized Exchange (DEX) หรือ T2P ที่ทำธุรกิจ eWallet
ในช่วงเวลากว่า 5 ปี ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท J Ventures ได้พัฒนาแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาตอบโจทย์ธุรกิจในด้าน FinTech, Blockchain และ Metaverse โดยใช้ JFIN Coin เป็น Utility Token เข้ามาเชื่อมต่อกับทุกแพลตฟอร์ม
โดยธุรกิจ FinTech มี Join Application เป็น Infrastructure ที่ผู้ใช้สามารถยืนยันตัวตนได้ตามมาตรฐาน NDID และยังเป็นช่องทางสำหรับแลกรับสิทธิประโยชน์จากร้านค้าพาร์ทเนอร์ นอกจากนี้ยังมี JNFT Marketplace เป็นศูนย์ซื้อ ขาย ประมูล ผลงาน NFT ทั้งรูปแบบภาพและเสียง ที่ผ่านได้ร่วมมือกับศิลปินในเมืองไทยอย่าง “ศักดิ์วุฒิ วิเศษมณี” ร่วมสร้างสรรค์ผลงาน Digital Art ในโปรเจกต์ “Portraits by Sakwut” รวมถึงการนำผลงานศิลปะดิจิทัลมาจัดแสดงเพื่อสร้างการรับรู้ในงาน DAFBKK2022 เมื่อเดือน มี.ค.-เม.ย. 65 ที่ผ่านมา
สำหรับ Blockchain J Ventures นั้นแบ่ง Infrastructure ของ Blockchain ออกเป็น 2 รูปแบบ คือ
1) Blockchain ที่ใช้กับภาคธุรกิจ หรือ JFIN Chain เป็นระบบ Blockchain แบบ Proof-of-Stake เข้ามารองรับการขยายตัวของ Decentralized Applications ตั้งแต่ DeFi, GameFi, NFT และ Metaverse โดยใช้ JFIN Token เป็น Native Token ในการทำธุรกรรม (Gas Fee) ส่วน
2) xCHAIN เป็นบริษัทที่พัฒนา Infrastructure ของ Blockchain แบบไม่แสวงหากำไร ราคาเหรียญมีความผันผวนต่ำ มีเป้าหมายใช้กับภาคการศึกษา หรือการใช้งานในระดับเมือง ซึ่งปัจจุบันค่า Gas Fee อยู่ที่ 10-25 สตางค์ เท่านั้น สำหรับ Blockchain AGM เป็นแพลตฟอร์มสำหรับโหวตผ่าน Blockchain รองรับการประชุมสามัญประจำปีต่างๆ ผ่านระบบออนไลน์
ด้าน Metaverse เป็นการใช้ Ecosystem ของ FinTech (Join Application และ JNFT) และ Blockchain (JFIN Chain และ xCHAIN) เพื่อพัฒนาสู่ J Metaverse ซึ่งหนึ่งในโปรเจกต์ที่ J Ventures เข้าไปร่วมมือคือการพัฒนา “Metaverse Education Community” เป็นคอมมูนิตี้ด้านการศึกษาบนโลก Virtual ร่วมมือกับ 20 มหาวิทยาลัย โดยบทบาทของ J Ventures นั้นคือการนำ xCHAIN เข้าไปเป็น Infrastructure และใช้ Join Application สำหรับเชื่อมการเงินผ่านโลก Metaverse
สำหรับกลยุทธ์หลังจากนี้ J Ventures ตั้งเป้านำแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีเข้าไปขับเคลื่อนองค์กรที่อยู่ใน Ecosystem ให้สามารถขยายธุรกิจและเติบโตได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการก้าวสู่ผู้นำด้านเทคโนโลยี Web3, Digital Asset และ Blockchain ล่าสุดได้ร่วมมือกับ TIS Intec Group บริษัทไอทียักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น เพื่อศึกษา Use case ใหม่ๆ รวมถึงการนำเทคโนโลยีระดับโลกมาเสริมความแข็งแกร่งให้เครือ Jaymart Group
นอกจากนี้ยังวางกลยุทธ์การสร้างรายได้จากแพลตฟอร์มผ่านการเพิ่มจำนวนผู้ใช้ Join Application ที่ปัจจุบันมีมากกว่า 8 แสนคน รวมถึงการเพิ่มจำนวนผู้ใช้ JFIN Chain ให้มากขึ้น ซึ่งผลประกอบการของ J Ventures ในปี 2564 ที่ผ่านมานั้นมีรายได้ 56.2 ล้านบาท และเป็นปีแรกที่มีกำไรสุทธิ 1.12 ล้านบาท
จากกลยุทธ์การบริหารธุรกิจที่เติบโตอย่างเป็นรูปธรรมของ Jaymart Group จนสามารถขยายธุรกิจไปกว่า 20 บริษัท Transform บริษัทสู่การเป็น Tech Company นั้นมาจากเบื้องหลังของการบริหารด้วย ‘ใจ’ ทั้ง 4 ด้าน ดังนี้
1.ทำด้วยใจ Jaymart Group เป็นบริษัทที่มีเครือข่ายธุรกิจและพาร์ทเนอร์หลากหลาย และทุกธุรกิจในเครือนั้นเข้าไปผูกติดกับชีวิตของผู้คนในทุกด้าน เช่น การดูแลใส่ใจลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในร้าน Jaymart Mobile ทั้งการแนะนำสินค้า และช่วยแก้ปัญหาเมื่อลูกค้าต้องการความช่วยเหลือ
2.ให้ใจ เข้าใจและเห็นใจความต้องการของทุกคนอย่างลึกซึ้ง และพร้อมแก้ปัญหาให้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเสมอ เช่น ลูกค้าที่มีปัญหาด้านการเงิน Jaymart Group มีธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลอย่าง KB J Capital เข้ามาช่วยแก้ปัญหาสภาพคล่องให้ลูกค้า พร้อมมอบสิทธิประโยชน์ต่างๆ
3.สร้างสรรค์ด้วยใจ ด้วยดาต้าเทคโนโลยี และนวัตกรรม ทำให้ Jaymart Group คิดค้นธุรกิจที่ตอบโจทย์กับทุกความต้องการของมนุษย์ได้อย่างแท้จริง เป็นที่มาของการก่อตั้ง J Ventures เพื่อเข้ามาแก้ปัญหา และสร้างสิ่งใหม่ๆ เข้ามาตอบโจท์การใช้ชีวิตของคนในยุคดิจิทัล
4.พลังใจ เป็นแรงผลักดันให้ทุกคนสร้างต้นทุนด้วยตัวเอง ก้าวต่อไปข้างหน้าและไม่กลัวอุปสรรคเหมือน Jaymart Group ที่เริ่มต้นจากทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท ฝ่าฟันทุกอุปสรรคและการเปลี่ยนแปลงจนมาเป็นบริษัทที่มี Market Cap สูงถึง 79,477 ล้านบาท ในปี 64
จากการเตรียมตัวอย่างรวดเร็วและชัดเจนของกลุ่มธุรกิจ Jaymart Group ที่สร้าง Ecosystem ของกลุ่มธุรกิจให้สามารถตอบโจทย์ต่างๆ ของผู้บริโภคภายใต้แนวคิด ‘4 ใจ’ ทำให้เราเห็นถึงความพร้อมของ Jaymart Group ในการรับกับการมาถึงของหลายเทคโนโลยีอนาคตทั้ง Blockchain, NFT, Metaverse, Cryptocurrency และอื่นๆ ที่จะเข้ามา โดยคราวหน้าหากพูดถึง Jaymart เราจะรู้ได้เลยว่านั่นไม่ใช่ร้านขายโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์มือถือเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
บทความนี้เป็น Advertorial
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด