คุณสามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่รับประกันส่งสินค้าให้กับคุณภายใน 24 ชั่วโมง ด้วยระบบ Logistics สุดล้ำอย่างหุ่นยนต์ส่งของอัตโนมัติ หรือโดรนส่งของ ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนที่คุณต้องแวะซื้อของในร้านสะดวกซื้อ คุณสามารถแค่สแกนไอดีตรงทางเข้า หยิบของและเดินออกได้โดยที่ไม่ต้องต่อคิวชำระเงิน ทานอาหารในร้านที่ปรุงและเสิร์ฟโดยหุ่นยนต์ ซึ่งทั้งสะดวกรวดเร็วและมีรสชาติสม่ำเสมอ หรือสั่งของสดจากซุปเปอร์มาร์เก็ตส่งตรงถึงประตูหน้าบ้านภายใน 30 นาที
ความสะดวกสบายขั้นสุดที่กล่าวมานี้คือตัวอย่างไลฟ์สไตล์ดิจิทัลที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตชาวจีนปัจจุบันแล้ว ด้วยบริการจาก JD.com บริษัทที่รู้จักกันในฐานะแพลตฟอร์ม E-commerce ยักษ์ใหญ่ของจีน ซึ่ง Techsauce ได้รับโอกาสพิเศษเป็นหนึ่งในสื่อมวลชนไทยที่ได้ไปเยี่ยมชมอาณาจักร JD.com ซึ่งนอกเหนือจากบริการแพลตฟอร์ม E-commerce แล้วยังหนึ่งในบริษัทจีนที่มีการพัฒนาใช้เทคโนโลยีอย่างเข้มข้นและหลากหลาย ตั้งแต่การมีระบบ Warehouse อัจฉริยะที่ใช้หุ่นยนต์เป็นหลักในการจัดการสต๊อกและจัดเตรียมการส่งสินค้า มีระบบ Logistics เป็นของตัวเองซึ่งมีการใช้หุ่นยนต์ส่งของอัตโนมัติ และโดรนส่งของ ร้านสะดวกซื้อไร้แคชเชียร์ ไปจนถึงซุปเปอร์มาร์เก็ตเน้นของสดและการจัดส่งที่รวดเร็ว บริการเหล่านี้เกิดขึ้นมาโดยมีเทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญในการสร้างให้เกิดเป็นประสบการณ์ที่อำนวยความสะดวกสบายขั้นสุดให้กับผู้บริโภค
นี่เป็นเพียงภาพรวมของอาณาจักร JD.com ที่เราได้ไปสัมผัสมาถึงที่ โอกาสนี้เราขอนำทุกท่านไปเจาะลึกว่า JD.com มีการต่อยอดการใช้เทคโนโลยีออกมาเป็นบริการที่มีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง รวมถึงพูดคุยพิเศษกับผู้บริหารของ JD.com ถึงกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ในการใช้เทคโนโลยีพัฒนาประสบการณ์ของผู้บริโภค และกลยุทธ์ที่ยักษ์ใหญ่แห่งจีนนี้กำลังเริ่มก้าวมาบุกตลาด SEA โดยมีประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดกลยุทธ์ที่สำคัญ
ยุคสมัยของดิจิทัลที่โลกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว (และอย่างมหาศาลในจีน) โมเดล Retail แบบดั้งเดิมอาจไม่สามารถสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างเต็มที่ E-commerce ได้สร้างความเป็นไปได้ใหม่ให้กับ Retail การสร้างระบบการจัดการ Supply Chain ด้วยเทคโนโลยีที่เอื้อความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภคไปอีกระดับ ผู้บริโภคสามารถสั่งซื้ออะไรก็ได้ ที่ไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ และจะซื้อในช่องทางใดก็ได้ (online / offline)
ประสบการณ์การช้อปปิ้งสะดวกสบายขั้นสุดที่ทาง JD.com เรียกว่า ‘Boundaryless Retail’ ตอบโจทย์นักช้อปที่ต้องการมีตัวเลือกมากขึ้น และมีช่องทางที่สะดวกสบายมากขึ้น จากโมเดลแบบดั้งเดิมที่ ‘หน้าร้าน’ ทั้ง offline และ online เป็นศูนย์กลางในการซื้อขาย เปลี่ยนมาเอื้อให้ผู้บริโภคเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง
C2M Model
เมื่อแพลตฟอร์มไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่สำหรับซื้อขายสินค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งเก็บ Data จำนวนมหาศาล ด้วยโมเดล C2M ลูกค้าสามารถ Feedback กลับไปยังผู้ผลิตสินค้าเพื่อช่วยกำหนดคุณสมบัติไปจนถึงวัตถุดิบที่ตอบโจทย์ความต้องการมากขึ้น เป็นการเชื่อมโยงระหว่างผู้บริโภคและผู้ผลิตผ่านทางแพลตฟอร์มให้มีการสื่อสารกันได้ ใช้ Data ที่ได้จากกิจกรรมการซื้อขายไปต่อยอดให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทุกฝ่าย
Retail as a Service
ด้วยการที่ JD.com มีการพัฒนาเทคโนโลยีและเครื่องมือต่างๆ เป็นโซลูชั่นสำหรับลูกค้า ด้วยกลยุทธ์การสร้างความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์แบบ Retail as a Service เปิดให้พาร์ทเนอร์สามารถเข้าถึงโซลูชั่นเหล่านี้เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของการบริการลูกค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สิ่งที่ JD.com แตกต่างจาก E-commerce เจ้าอื่นๆ คือความเป็น One-stop supply chain solution มีการทำระบบ Logistics เป็นของตัวเอง โดยเน้นการขนส่งที่ส่งถึงลูกค้าได้อย่างครอบคลุมและรวดเร็ว โดยสินค้ากว่า 90% สามารถจัดส่งภายในประเทศได้ใน 24 ชั่วโมง เพื่อที่จะทำให้เป้าหมายที่ตั้งไว้เกิดขึ้นได้จริง จึงต้องอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาช่วยตั้งแต่ในส่วนของ Warehouse ไปจนถึง Last Mile Delivery
Warehouse อัจฉริยะ
Warehouse ที่ใช้ Robotics Technology ในการบริหารจัดการสต๊อกและจัดเตรียมการส่งสินค้า รองรับการจัดเก็บสต๊อกสินค้าที่ช่วยให้ Supplier หลายๆ เจ้าไม่จำเป็นต้องมี Warehouse เป็นของตัวเอง นับตั้งแต่ลูกค้าคลิกสั่งของบนแพลตฟอร์ม ออเดอร์จะถูกส่งมายังระบบใน Warehouse และจัดการขั้นตอนต่างๆ จนพร้อมจัดส่งภายใน 1 ชั่วโมง
หุ่นยนต์ส่งของอัตโนมัติ และโดรนส่งของ
เทคโนโลยีที่พัฒนาใช้หุ่นยนต์ส่งของหรือ Self-driving trucks ที่สามารถวิ่งไปบนท้องถนนเพื่อส่งของตามจุดรับต่างๆ ได้ รวมถึงในพื้นที่ที่สามารถเข้าถึงได้ยากหรือพื้นที่ชนบท ก็สามารถใช้บริการในส่วนของโดรนส่งของที่ทำให้สินค้าสามารถไปถึงได้เร็วกว่าการขนส่งภาคพื้นดินหลายเท่า
JD Luxury Express
นอกเหนือจากการพัฒนาในเรื่องของความเร็ว สำหรับอีกหนึ่งลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่ซื้อสินค้าราคาแพง ทาง JD.com ก็ได้ออกแบบการจัดส่งสินค้ารูปแบบพิเศษที่เรียกว่า JD Luxury Express โดยจะมี White Gloves ขับรถเก๋งหรูไปส่งสินค้าให้ถึงที่ เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์การช้อปและรับสินค้าที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภคชาวจีน
อีกหนึ่งบริการที่ทาง JD.com พัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมารองรับความต้องการพื้นฐานของผู้บริโภค ที่ JD Cafe ลูกค้าสามารถเข้าไปสแกนเพื่อสั่งเมนูอาหารผ่านสมาร์ทโฟนของตัวเอง อาหารที่สั่งจะถูกปรุงด้วย Robot Chef ที่สามารถปรุงอาหารได้กว่า 40 เมนูตามฤดูกาล ความเสถียรของหุ่นยนต์ทำให้ควบคุมความรวดเร็วและคุณภาพรสชาติได้อย่างคงที่ จากนั้นอาหารก็จะถูกเสิร์ฟถึงโต๊ะด้วยหุ่นยนต์เสิร์ฟที่ทำงานด้วยเทคโนโลยีเรดาร์กับกล้องเพื่อให้สามารถเสิร์ฟได้ถูกโต๊ะและหลบหลีกสิ่งกีดขวางได้ ทานเสร็จก็ชำระค่าอาหารผ่านทางบัญชีที่ผูกไว้ เป็นประสบการณ์การทานอาหารที่ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับเทคโนโลยีแทบจะ 100% เพราะระบบการจัดการภายในร้านใช้หุ่นยนต์มากกว่า 90%
X-Mart ร้านสะดวกซื้อของ JD.com ผนวกกับเทคโนโลยีของพาร์ทเนอร์อย่าง WeChat ที่ช่วยในเรื่องของระบบ Payment ทำให้ลูกค้าเพียงแค่สแกนไอดีตรงทางเข้า จากนั้นก็สามารถเข้าไปหยิบสินค้าที่ต้องการ โดยภายในร้านจะใช้เทคโนโลยีของเซ็นเซอร์ผสานกับกล้องจำนวนมากเพื่อช่วยตรวจจับยืนยันว่าใครเป็นผู้หยิบสินค้า คำนวนจำนวนชิ้นพร้อมราคาและตัดยอดจ่ายเงินผ่านบัญชี WeChat โดยอัตโนมัติ ทำให้ลูกค้าสามารถเดินออกจากร้านได้เลยโดยที่ไม่ต้องต่อคิวจ่ายเงิน
ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่อำนวยความสะดวกสบายขั้นสุดให้กับคนในท้องที่ ด้วยบริการส่งฟรีภายในครึ่งชั่วโมงในรัศมีสามกิโลเมตร จุดเด่นคือสินค้าจำพวกผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ที่เน้น ‘ความสด’ โดยจะมี QR Code กำกับให้ลูกค้าสามารถสแกนอ่านรายละเอียดที่มาของสินค้านั้นๆ ได้ รวมถึงคนที่ไม่สะดวกปรุงอาหารเองก็มีตัวเลือกให้สามารถเลือกวัตถุดิบสดๆ จากตู้และสั่งให้เชฟปรุงให้ทันที ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนจีนที่ต้องการความรวดเร็ว สะดวกสบาย และค่านิยมการทานอาหารที่เน้นความสดเป็นพิเศษ
ในทริปนี้ เรายังได้มีโอกาสพูดคุยกับ คุณเซียวเหยา ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์และการลงทุน JD.Com ซึ่งได้เผยว่า SEA เป็นตลาดต่างประเทศที่สำคัญสำหรับ JD.com เพราะเป็นตลาดที่ E-commerce ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกค่อนข้างมาก โดยเฉพาะประเทศไทยและอินโดนีเซีย ซึ่งผู้บริโภคในกลุ่มประเทศเป้าหมายดังกล่าวนี้ก็มีพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีที่ค่อนข้างเหมาะสมกับการขยายฐานตลาดของ E-commerce ซึ่งในการขยายตลาดไปในต่างประเทศนั้น นอกจากจะส่งออกเทคโนโลยีที่จะช่วยพัฒนาความสะดวกสบายให้กับในส่วนของผู้บริโภคแล้วนั้น JD.com ยังมีกลยุทธ์ที่จะให้พาร์ทเนอร์ใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับธุรกิจอีกด้วย
สำหรับการ Localize ให้เข้ากับตลาดในประเทศต่างๆ นั้น คุณเซียวเหยากล่าวว่าคนในพื้นที่ย่อมรู้จักตลาดในท้องที่มากกว่า ดังนั้นพาร์ทเนอร์ในพื้นที่นั้นๆ จะเป็นผู้นำ Insight ของผู้บริโภคในพื้นที่มาให้กับทาง JD.com เพื่อที่จะเสนอโซลูชั่นด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์และองค์ความรู้ที่ใช้ในตลาดจีน หรือเทคโนโลยีไปเพื่อตอบโจทย์ปัญหา โดยจะทำงานกับพาร์ทเนอร์ทีละประเทศ และมีความเชื่อว่าถึงแม้ผู้บริโภคในแต่ละประเทศจะแตกต่างกันออกไป แต่จุดร่วมที่ผู้บริโภคชาวจีนมีเหมือนกันกับผู้บริโภคใน SEA คือจะซื้อสินค้าโดยเน้นคุณภาพและความคุ้มค่ามากกว่าปัจจัยด้านราคาที่ถูก ซึ่งสอดคล้องกับจุดยืนของแบรนด์ JD.com ที่เน้นขายสินค้าของแท้และมีคุณภาพ และอีกปัจจัยสำคัญคือเรื่องของความสะดวกสบาย
พาร์ทเนอร์ในพื้นที่นั้นๆ จะเป็นผู้นำ Insight ของผู้บริโภคในพื้นที่มาให้กับทาง JD.com เพื่อที่จะเสนอโซลูชั่นด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์และองค์ความรู้ที่ใช้ในตลาดจีน หรือเทคโนโลยีไปเพื่อตอบโจทย์ปัญหา
จิ๊กซอว์ทั้งหมดที่ต่อกันเป็น Ecosystem ของ JD.com ในวันนี้อาจยังกล่าวไม่ได้ว่านี่คือภาพที่สมบูรณ์แบบแล้ว เมื่อเราได้เห็นโมเดลผังโครงการ Smart City ที่ตั้งอยู่ใน Warehouse อัจฉริยะของ JD.com ซึ่งอาจจะเป็นแผนการณ์ในอนาคตที่จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ก็ตาม รวมถึงการลงทุนในการทำ R&D เพื่อค้นหานวัตกรรมใหม่ๆ สิ่งเหล่านี้บ่งบอกถึงความตั้งใจอย่างต่อเนื่องที่จะผนวกวิสัยทัศน์เข้ากับพัฒนาการด้านเทคโนโลยีเพื่อยกระดับการตอบสนองได้อย่างครอบคลุมทุกมิติชีวิตของผู้บริโภค
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด